การเปลี่ยนแปลง

พาเด็กๆไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาถึงเมืองไทย พบว่าช่วงเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดก่อนการฉายภาพยนตร์นั้นเปลี่ยนไป ภาพประกอบเพลงที่เราคุ้นเคยจะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แต่ในคราวนี้ ภาพทุกภาพเปลี่ยนเป็นภาพของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ความรู้สึกเมื่อได้เห็นคือใจหาย รู้สึกว่าถึงเวลาที่เราจะต้องยอมรับความจริงว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนรัชกาลแล้ว ไม่เหมือนเดิมแล้ว จริงๆซินะ

ทุกวันนี้เหมือนยังหลอกตัวเองด้วยสิ่งที่ยังคงเดิม เช่น รูปที่บ้านก็ยังเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9  เงินที่จับจ่ายใช้สอยก็ยังเป็นธนบัตรแบบเดิม เหรียญแบบเดิม ที่ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างยังเหมือนอยู่ในรัชกาลเดิม เราลืมคิดไปว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไป  ผู้คนก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์ท่านก็จะค่อยๆเลือนไป คนรุ่นหลังก็จะไม่รู้จักรัชกาลที่ 9 แล้ว หรืออาจจะรู้จักเพียงผิวเผินจากแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย รู้สึกว่านี่คือความจริง แม้แต่พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของคนไทยก็ยังมีวันกลายเป็นอดีตและเลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่มีใครเอาชนะความจริง ไม่มีใครเอาชนะเวลา ไม่มีใครเอาชนะการเปลี่ยนแปลงได้เลยไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด

นึกถึงภาพต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ตายแล้วรอวันผุพังที่เราเคยถ่ายรูปไว้ตอนไปวิ่งออกกำลังกาย ตอนที่ถ่ายรูปนั้นก็รู้สึกแค่เพียงว่า ต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้ก็ยังตายได้ นั่นคือไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องมีวันตาย มาวันนี้ความรู้สึกที่มีเพิ่มเติมคือรู้สึกได้ถึงอิทธิพลของความเปลี่ยนแปลง ต้นไม้ใหญ่ที่เคยมีประโยชน์เคยให้ร่มเงา ที่เคยมีคนมาอาศัยพักพิง ที่เคยเป็นแหล่งที่อยู่แหล่งอาหารของสัตว์เล็กสัตว์น้อยต้นนั้น อีกไม่นานคงต้องผุพังหรือถูกรื้อถอนออกไป อาจจะมีการปลูกต้นใหม่ขึ้นมาแทนที่และในที่สุดผู้คนหรือแม้กระทั่งสัตว์ที่เคยอาศัยพักพิงก็จะค่อยๆลืมไปว่าเคยมีต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นนั้นอยู่

นึกถึงตัวเราเมื่อถึงวันที่ต้องจากไป นึกถึงคนรอบตัวที่เรารักและมีความสำคัญกับเรามากมาย สักวันก็ต้องลืมเราเพราะชีวิตเค้าเหล่านั้นต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าเราจะดีแสนดีกับเค้าแค่ไหน ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้เค้าแค่ไหน ไม่ว่าเราจะรักเค้าหรือเค้าจะรักเรามากแค่ไหน มันก็ต้องมีวันหมดและคงเหลือไว้เพียงความระลึกนึกถึงกันบ้างเป็นครั้งคราว แล้วอย่างนี้เราจะเรียกร้องอะไรไปทำไมในเมื่อมันต้องหมดไป เราจะโหยหาความรักความชื่นชมจากคนอื่นไปเพื่ออะไร

มาลองคิดดู ทุกข์ของเราส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการอยากเป็นที่รัก อยากได้ความรักและต้องการคำชื่นชม ไม่ชอบถูกตำหนิ ตั้งแต่เด็กก็อยากได้ความรักจากแม่ โตขึ้นก็อยากได้การยอมรับจากเพื่อนๆ อยากให้คนรอบข้างชื่นชม อยากให้สามีรัก เมื่อมีลูกยิ่งอาการหนัก อยากให้ลูกรักเรา อยากเป็นคนสำคัญในชีวิตลูก อยากให้คนอื่นชื่นชมว่าเลี้ยงลูกได้ดี เอาเรื่องของตัวเองไปลงที่ลูก บังคับให้ลูกเป็นอย่างที่เราคิดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ มาถึงตอนนี้เมื่อได้มาเห็นผลของความเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราต้องการมาทั้งชีวิตและทำทุกอย่างให้ได้มานั้นเราจะเอามาเพื่ออะไรกันในเมื่อสักวันนึงมันก็ต้องหมดไป สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป

นี่เราทำเพื่อตัวเองมาตลอดเกือบทั้งชีวิต ทำเพื่อสิ่งที่ไม่มีตัวตน ทำเพื่อให้ได้ความรู้สึกของคน เหมือนพยายามอัดอากาศเข้ามาเก็บไว้ในลูกโป่งให้ได้มากๆ แต่แล้ววันนึงอากาศเหล่านั้นก็ต้องซึมออกจากลูกโป่งจนหมดอยู่ดี เหมือนคว้าอากาศมาถือไว้ สุดท้ายแบมือออกมาก็เหลือแต่มือเปล่า คงถึงเวลาหยุดคว้าหยุดเรียกร้องหาความรัก เพราะหากเรายังอยากได้แต่ไม่ได้มา เราก็ทุกข์ หากเราได้มาแล้วเมื่อถึงวันที่เราจากไป คนที่รักเรายิ่งรักมากก็ยิ่งทุกข์มาก คงถึงเวลาของความพอดี รักแต่พอดีและรักแบบไม่เห็นแก่ตัว เลิกเรียกร้องหาความรัก และคงถึงเวลาเตรียมตัวเองและคนรอบข้างให้พร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงในวันข้างหน้าซะที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *