เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาพาเด็กๆไปเที่ยวต่างจังหวัด รู้สึกว่ามีเวลาน้อยเกินไปยังเที่ยวได้ไม่ทั่ว เพราะปกติแล้วเวลาเที่ยวต่างจังหวัดเราจะค้างอย่างน้อย 2 คืน คราวนี้จึงรู้สึกเหนื่อยและไม่ชอบใจ นึกในใจว่าก็เราไม่มีทางเลือก เพราะวันธรรมดาที่น้องสาวและคุณพ่อไปทำงานก็เป็นหน้าที่เราที่อยู่เฝ้าคุณแม่จนกระทั่งเค้ากลับมาจากทำงานประมาณ 2-3 ทุ่ม เราจึงได้กลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ถึงจะได้พาเด็กไปเที่ยว รู้สึกเหนื่อยและหมดพลังตั้งแต่กลับจากต่างจังหวัด ผ่านมาสองวันก็ยังไม่หาย เลยมานั่งถามตัวเองว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น
ก็ได้ความว่าเรารู้สึกสงสารตัวเอง อึดอัดที่รู้สึกว่าเราไม่มีทางเลือก รู้สึกว่าทำไมคนอื่นๆไม่เหลือทางเลือกให้เรา ทำไมเค้าต้องออกจากบ้านแต่เช้าแล้วกลับดึก ทำไมเหลือเวลาให้เราแค่เสาร์อาทิตย์ รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ อ้าว… ไม่น่าจะใช่ละ นี่เราคิดถึงแต่ตัวเองทั้งนั้น เรารู้สึกว่าถูกกระทำทั้งๆที่ไม่ได้มีใครมาทำอะไรเราสักนิด เรารู้สึกของเราไปเอง แล้วเพราะอะไรหล่ะ ก็เพราะเราเคยชินกับการมีทางเลือกและสิทธิพิเศษมาตลอดนั่นเอง
จริงๆแล้วชีวิตที่ไม่มีทางเลือกที่เรากำลังรู้สึกอยู่นี่คือชีวิตปกติของคนทั่วไป ออกจากบ้านแต่เช้า ผจญรถติด กลับถึงบ้านมืดค่ำ เหนื่อยหมดแรง กลับมาลูกเข้านอนไปแล้ว ต้องรีบกินข้าว อาบน้ำ นอน เพื่อเริ่มวงจรใหม่ในวันพรุ่งนี้ เวลาส่วนตัวเพื่อไปออกกำลัง สังสรรค์เฮฮา ไม่ต้องพูดถึง เที่ยวเสาร์อาทิตย์คือเรื่องปกติ หรือไม่ก็ไม่ได้เที่ยวเลยด้วยซ้ำ เราคิดว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วน้องสาวเราหล่ะ วันธรรมดาทำงานทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ดูแลแม่เพราะเราไม่อยู่ ที่ผ่านมาน้องและพ่อต้องดูแลแม่พาไปหาหมอเป็นปีโดยที่เราไม่ได้แบ่งเบา เราให้ทางเลือกเค้ารึเปล่า เค้าเลือกอะไรกันได้รึเปล่า
เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า เราเคยชินกับการมีทางเลือกจากสิทธิพิเศษต่างๆที่เราได้รับ เช่น เมื่อก่อนนี้เราเองไม่ได้ทำงานและสามีก็มีวันลาพักร้อนเพียงพอที่จะลาไปเที่ยวกันในวันธรรมดาหลายๆวันได้ในช่วงที่ลูกปิดเทอม แต่ตอนนี้เรามีหน้าที่เพิ่มเติมคือการดูแลคุณแม่ที่ป่วยและสามีก็จำเป็นต้องเก็บวันลาไว้ให้มากที่สุดเพื่อจะรวบรวมไว้ใช้ตอนไปอเมริกาช่วงสิ้นปี สิทธิพิเศษที่เคยได้นั้นในวันนี้กลับหายไป จากที่เคยจะไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ก็กลายเป็นต้องเที่ยววันหยุดเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งความทุกข์ความอึดอัดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากเรามองเห็นความจริง และมองเห็นความไม่เที่ยงของทางเลือกต่างๆที่เราเคยมี
นอกจากนั้นยังทำให้เห็นอีกว่า เมื่อใดก็ตามที่เราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้วมองสิ่งต่างๆโดยพยายามดึงเข้าหาตัวเองหรือเข้าข้างตัวเองเมื่อไหร่ การมองความจริงของเราจะผิดเพี้ยนไปทันที กรณีนี้เรามองว่าเราถูกจำกัดทางเลือกทั้งๆที่ทางเลือกนั้นมันเป็นสิทธิพิเศษที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้แต่เราเคยได้มาตลอดจนเราเคยชิน เราไม่มองจากฐานของความเป็นจริงแต่เรามองจากฐานของตัวเอง ดังนั้นเราย่อมรู้สึกว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำทั้งๆที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เราทำตัวเราเองจากการมองไม่เห็นความจริง การปักเที่ยง การปล่อยตัวเองให้เคยชินกับสิทธิพิเศษที่เราได้รับที่มากกว่าคนอื่น
นี่แค่เรื่องการไปเที่ยวอย่างเดียวยังทำให้เราทุกข์อยู่ได้ตั้งหลายวัน ถ้าหากเรื่องนี้เกิดกับสิทธิพิเศษที่มีผลต่อชีวิตเรามากๆ ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงชีวิตเราทั้งชีวิต เช่น หากวันใดเราจะต้องเป็นคนที่ออกไปทำงานเพื่อหารายได้เข้าบ้านจากที่เคยไม่ต้องทำงาน หรือถ้าหากมีเหตุให้ครอบครัวเราต้องอพยพกลับเมืองไทยไม่สามารถเรียนต่อที่อเมริกาได้ หรืออะไรก็ตามที่มันใหญ่กว่าเรื่องเที่ยวที่แสนเล็กน้อยนี้ ถ้าหากเรายังไม่เตรียมตัว ไม่มองความเป็นจริงและไม่พิจารณาความไม่เที่ยงของสิ่งเหล่านั้น วันใดที่มันเกิดขึ้นจริงเราจะรับมือได้อย่างไร
ต่อไปจะพยายามพิจารณาความไม่เที่ยงของทางเลือกต่างๆที่เราเคยมีและเคยชินในทุกๆด้านของชีวิต พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริง เพื่อจะได้รับมือกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น นอกจากนั้น ทางเลือกที่ถูกจำกัดยังนำมาใช้ในการสอนให้ลูกเห็นถึงความเป็นจริงของชีวิตได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเวลาเที่ยวที่มีจำกัด การกลับบ้านที่ผิดเวลาของพ่อแม่ การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับพี่เลี้ยง การที่ต้องรอ การได้เห็นว่าภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของคนอื่นๆ นั้นมันมากมายขนาดไหน การได้เห็นว่าเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นสมาชิกในครอบครัวควรจะช่วยเหลือกันอย่างไร ซึ่งลูกจะเรียนรู้ได้จากการกระทำของเราโดยที่เราไม่จำเป็นต้องสอนอะไรเลย ประโยชน์ของการ “ไม่มีทางเลือก” ช่างมากมายและมีคุณค่าจริงๆ