ร่างกายคนเรา

กลับเมืองไทยคราวนี้ ไปเฝ้าคุณแม่ที่ป่วยจนกระทั่งคุณแม่จากไป อยู่ร่วมงานศพจนเสร็จสิ้นพิธีลอยอังคาร ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณแม่ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือน ทำให้ได้เห็นความจริงเกี่ยวกับร่างกายของคนเราได้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่สำคัญได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ว่าใครก็ควบคุมไม่ได้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

เพราะได้เห็นได้สัมผัสร่างกายของคุณแม่ตั้งแต่เริ่มป่วย จนร่างกายเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่เป็นมะเร็งและผ่านการรักษาต่อเนื่องมาเป็นปี จากนั้นเมื่อเกิดอาการติดเชื้อในกระแสเลือดร่างกายคุณแม่ก็เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว อวัยวะภายในและระบบต่างๆทยอยปิดตัวและทำงานน้อยลงเนื่องจากการติดเชื้อ คุณแม่จึงทานไม่ได้เพราะระบบทางเดินอาหารไม่ทำงาน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ต้องนอนติดเตียงเป็นเวลากว่า 20 วัน ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็ยังไม่เห็นว่าร่างกายคุณแม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่เพราะนอนเป็นส่วนใหญ่และมีการบวมน้ำจากการให้น้ำเกลือ แต่เมื่อได้กลับบ้านหลังจากถอดสายน้ำเกลือและอาการบวมน้ำหายไป แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเพียงแค่ 20 วัน ร่างกายนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง กล้ามเนื้อเกือบทุกส่วนหดหายกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก ไม่น่าเชื่อจริงๆ

จากนั้นก็มาถึงกระบวนการกายภาพบำบัดและฟื้นฟูร่างกาย เมื่อเริ่มทานอาหารได้ร่างกายก็เริ่มดีขึ้นมีเนื้อมีหนังมากขึ้น เมื่อได้ออกกำลังกล้ามเนื้อต่างๆก็เริ่มดีขึ้น จนทุกคนเริ่มมีความหวัง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าภายในของร่างกายนั้นเป็นอย่างไร โรคร้ายที่เป็นอยู่นั้นลุกลามไปมากแค่ไหน จนกระทั่งเกิดอาการทานอาหารไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้งเพราะก้อนมะเร็งที่ตับโตขึ้นส่งผลกระทบกับระบบย่อยอาหาร ร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปอีกตามผลของโรค ผ่ายผอมแต่ท้องบวมน้ำ ผิดรูปผิดร่าง ความรู้สึกที่กระแทกใจตอนนั้นคือจากคนที่เคยสวยมากเมื่อยังสาวแต่แล้ววันเวลาและโรคภัยไข้เจ็บก็พาให้ร่างกายที่เคยสวยงามนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจึงจำเป็นต้องไปรับยาคีโมเพื่อให้ก้อนเล็กลง แต่ด้วยความเสื่อมของร่างกายทำให้ร่างกายรับไม่ไหว ต้องเข้าห้อง ICU อีกครั้งหนึ่ง ในคราวนี้เพียง 5 วันเท่านั้นคุณแม่ก็จากไป ตอนนั้นไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่สามีบอกว่าหลังจากที่เสียไม่นานร่างของคุณแม่ก็เริ่มแข็งทางโรงพยาบาลจึงต้องฉีดยาและนำไปแช่เย็นที่ห้องเก็บศพ จนเมื่อเสร็จสิ้นงานศพก่อนที่จะเคลื่อนศพไปฌาปนกิจที่เมรุ ทางวัดก็ได้เปิดโลงให้ดูจึงได้เห็นร่างภายในโลงนั้นและได้มีโอกาสสัมผัสว่าเป็นอย่างไร ตอนสัมผัสรู้สึกเหมือนว่าเราได้สัมผัสก้อนหินที่แข็งและเย็นเฉียบ แสดงว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของคุณแม่เราอีกต่อไป

สิ่งที่ทำให้เห็นความจริงมากไปกว่านั้นคือในวันรุ่งขึ้นที่ไปเก็บเถ้ากระดูกเพื่อนำไปลอยอังคาร เมื่อทางวัดยกถาดเถ้ากระดูกมาให้ดู ทันทีที่เห็นก็ตกใจมากว่าเหลือแค่นี้เองหรือ! คนทั้งคนสุดท้ายเหลือเพียงเถ้ากระดูกปริมาณเท่านี้เองหรือ! ตอนนั้นหากมีลมพัดมาแรงๆเพียงวูบเดียวเถ้าเหล่านั้นก็มีโอกาสอย่างมากที่จะปลิวหายไป ยิ่งไปกว่านั้นเถ้าที่หลงเหลืออยู่ยังไม่สามารถเก็บไว้ได้ทั้งหมดอีก คงเหลือใส่โกศไว้เพียงเล็กน้อยไว้ให้ลูกหลานได้นำไปกราบไหว้และระลึกถึง จากนั้นเมื่อนำไปลอยอังคาร เถ้าทั้งหมดก็หายกลับสู่ทะเลไม่เหลืออะไรอีกเลย ทำให้รู้สึกได้เลยว่า สุดท้ายแล้วคนเราก็เท่านี้ไม่เหลืออะไรนอกจากคุณงามความดีที่เคยทำไว้จริงๆ

จากความจริงที่ได้เห็นทำให้ความรู้สึกเกี่ยวกับร่างกายตัวเองเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยกังวลกับความสวยงาม กังวลกับบางส่วนของร่างกาย เช่นผมหงอก ใต้ตาที่บวมและริ้วรอยที่เกิดจากอายุ ก็จะกังวลน้อยลง หรือแม้แต่ความรู้สึกที่โดนเปรียบเทียบเรื่องความสวยงามกับน้องสาวก็เปลี่ยนไป จากที่เคยน้อยใจว่าคนมักจะชมแต่น้องสาวว่าสวยซึ่งล่าสุดก็โดนแขกที่มางานพูดเปรียบเทียบต่อหน้าสามีและลูกสาวในงานศพ แต่คราวนี้เราไม่รู้สึกอะไรเลยเรากลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะมันคือความจริงและยังนำมาคุยเล่นเป็นเรื่องตลกไปได้ ความอิจฉาที่เคยมีมาตลอดชีวิตกลับหายไป ทุกข์ที่เคยมีเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตามันหมดไปได้อย่างง่ายๆเพียงแค่เรายอมรับความจริงเท่านี้เอง

ต่อนี้ไปก็ยังคงจะดูแลตัวเองตามที่สมควรจะทำ ยังคงออกกำลังกายรักษาสุขภาพแต่ก็พึงระลึกอยู่เสมอว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นได้ตลอดไม่ว่าจะรักษาสุขภาพแค่ไหน การแต่งตัวแต่งหน้าก็ทำตามกาละเทศะ การบำรุงผิวพรรณต่างๆก็คงทำแต่พอควร ไม่สิ้นเปลืองหรือจริงจังพยายามที่จะฝืนธรรมชาติเหมือนเมื่อก่อน จะเตือนตัวเองให้ระลึกอยู่เสมอว่า สุดท้ายนี้ร่างกายที่เราเพียงใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวก็จะต้องสลายกลับสู่ธรรมชาติไป ไม่เหลืออะไรเลย และเร่งทำสิ่งที่ควรทำนั่นคือพิจารณาธรรมะอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นและยอมรับความเป็นจริงของโลกนี้ให้ได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *