สมบัติ

เมื่อคุณแม่จากไป ภาระกิจสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำคือ การจัดการกับข้าวของเครื่องใช้ของคุณแม่ ทั้งอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในยามป่วยเช่น เตียงคนไข้ รถเข็น ของใช้สิ้นเปลืองทั้งหลาย เสื้อผ้า เครื่องใช้ทุกๆอย่าง รวมไปถึงจัดการเรื่องเอกสารทางราชการต่างๆ ซึ่งทำให้ได้เห็นความจริงเรื่องสมบัติอย่างชัดเจน ได้สัมผัสและรู้สึกถึงความรู้สึกที่ว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

บ้านที่เคยมีชื่อคุณแม่เป็นเจ้าบ้าน เมื่อเสียชีวิตจึงต้องเอาใบมรณบัตรไปที่เขตเพื่อจำหน่ายชื่อออก สิ่งที่พนักงานเขตทำก็คือ ดูใบมรณบัตรแล้วก็ปั๊มคำว่า “ตาย” เพียงคำเดียวลงในทะเบียนบ้านเป็นอันเสร็จสิ้น …คือ… บ้านที่กว่าคุณแม่จะได้มาครอบครองช่างแสนยากเย็น ผ่อนมาหลายสิบปีกว่าจะได้เป็นเจ้าของ ต้องหมั่นคอยดูแลรักษาซ่อมแซม คอยทำความสะอาดมาอย่างดีตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ แต่เมื่อถึงคราวที่ความเป็นเจ้าของจะหมดไปมันช่างง่ายดาย ใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเดียวที่พนักงานเขตปั๊มคำว่า “ตาย” เท่านั้นเอง บ้านที่เคยเป็นสมบัติของคุณแม่ก็ตกเป็นของคนอื่นไปทันที

ข้าวของเครื่องใช้ในยามที่ป่วยรักษาตัวอยู่ที่บ้านก็นำออกไปบริจาค ของที่เคยใช้อยู่ทุกวันก็ตกเป็นของใช้ของคนอื่น ห้องที่เคยนอนทุกคืนตอนป่วยก็แปรสภาพไปเพื่อไม่ให้คนที่ยังอยู่ในบ้านเกิดความเศร้าโศกหากยังเห็นห้องสภาพเดิมและปรับเปลี่ยนการใช้งานเพื่อเป็นห้องใช้เล่นและเก็บของเล่นของหลานไป เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ต่างๆที่มีอยู่นั้น สุดท้ายคุณแม่ก็ได้ใช้เพียงเสื้อผ้าชุดเดียวและรองเท้าคู่เดียวที่นำมาเปลี่ยนให้ตอนเสียชีวิตเท่านั้น นอกนั้น ลูกๆหลานๆ ก็มาคัดเลือกไปใช้หรือเก็บไว้ สิ่งที่ไม่ได้ถูกเลือกก็นำไปบริจาคทั้งหมด แม้สิ่งเหล่านี้จะเคยเป็นของคุณแม่ แต่สุดท้ายแล้วก็กลับกลายเป็นของคนอื่นไปโดยที่คุณแม่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเลือกว่าชิ้นไหนจะให้ใครด้วยซ้ำ

ความจริงอีกอย่างที่ได้เห็นคือ การมีมากเกินความจำเป็น ข้าวของของคุณแม่ซึ่งถือว่ามีไม่มากแต่ก็ยังมีบางสิ่งที่มากเกินความจำเป็น เช่น กระเป๋าถือบางใบที่ยังไม่เคยถูกใช้ รองเท้าบางคู่ที่ยังไม่เคยได้ใส่ เสื้อผ้าบางชุดที่ซื้อมายังไม่ทันได้ใส่ รวมถึงของฝากที่เรามักจะนำไปฝากทุกครั้งที่กลับเมืองไทยซึ่งยังไม่ได้ถูกใช้ ทั้งๆที่คุณแม่จะบอกเสมอว่าไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากแต่เราก็ยังมีของฝากไปให้ทุกครั้ง สุดท้ายคุณแม่ก็ไม่ได้ใช้ของเหล่านั้น

เมื่อได้เห็นและได้รับความรู้สึกเหล่านี้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงแรกที่เกิดกับตัวเองคือ ความอยากได้อยากมีที่ลดลง จากที่เคยชอบซื้อก็เริ่มเกิดความเบื่อ เริ่มเห็นว่า เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าที่เราชอบซื้อนั้นมันมีมากเกินความจำเป็นและเกิดความสลดใจทุกครั้งที่กลับมามองตู้เสื้อผ้าตัวเอง เมื่อลูกขอให้พาไปเลือกซื้อเสื้อผ้าก็พาไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้อยากได้อะไรเลย ความรู้สึกหวงของก็ลดลง เมื่อก่อนจะไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของส่วนตัวแต่ตอนนี้ลูกสาวมักจะขึ้นไปดูเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์และขอยืมมาใช้เป็นประจำ แม้กระทั่งบางชิ้นที่ซื้อมานานแล้วแต่เรายังไม่มีโอกาสได้ใส่เลยสักครั้ง หรือชิ้นโปรดที่เคยชอบมากแต่เมื่อลูกมาขอเราก็ให้ด้วยความเต็มใจ

นอกจากนั้นระยะนี้จะพิจารณาเรื่องมากเกินความจำเป็นในทุกๆเรื่อง เช่นเวลาไปซื้อกับข้าวเข้าบ้าน จะไม่ซื้อมากเหมือนเมื่อก่อนที่มักจะซื้อมาตุนแล้วก็ใช้ไม่ทัน โดยเฉพาะ ผักสดผลไม้ ซึ่งมักต้องทิ้งไปบ่อยๆ เวลาทำกับข้าวก็จะพยายามทำเมนูที่ทำได้จากของที่มีอยู่จนสามารถใช้จนหมดไม่เหลือทิ้งมากเหมือนก่อน ไม่ตกเป็นเหยื่อของคูปองส่วนลดต่างๆที่ส่งมาถึงบ้าน หรือทางอีเมลล์เพื่อล่อให้เราไปซื้อของที่จริงๆแล้วไม่ได้จำเป็นแต่ซื้อเพราะได้ส่วนลดและมักจะคิดว่าซื้อมาเก็บไว้ก่อนซึ่งบ่อยครั้งของเหล่านั้นก็หมดอายุก่อนที่เราจะได้ใช้ รวมไปถึงได้เห็นนิสัยการให้ที่มากเกินไปให้จนเกินความจำเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก เช่น สามี ลูก หลาน ได้เห็นว่าเสื้อผ้าที่เราซื้อไปฝากสามีนั้น เค้าได้ใช้อยู่ไม่กี่ตัว ที่เหลือก็คือกองไว้ในตู้เสื้อผ้า กลายเป็นสิ่งที่มากเกินความจำเป็น

ต่อไปจะพิจารณาเรื่องมากเกินความจำเป็นอย่างต่อเนื่อง จะพยายามแก้ไขนิสัยการให้ที่มากเกินไปเพราะบางครั้งการให้นั้นนอกจากจะไม่ทำให้ผู้รับมีความสุขแต่ยังสร้างภาระที่ไม่จำเป็นให้ผู้รับ เกิดผลเสียที่เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิด จะพิจารณาเรื่องตนและของของตนต่อไป รวมทั้งทำสิ่งที่ควรทำต่างๆเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันที่เราต้องจากไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *