You Did Great!!!

ไปเข้าคลาสตีเทนนิสที่ Recreation center ใกล้บ้าน คลาสนี้มีเราลงแค่คนเดียวแต่วันนั้นมีคน walk in เข้ามาเรียนด้วย ปรากฏว่าเราตีไม่ดีเลยและเราก็รู้ตัวว่าแรงไม่ค่อยมี เหนื่อยง่าย ควบคุมลูกไม่ดี ตีออกตลอด ในขณะที่คนที่มาเล่นด้วยนั้น แข็งแรงและควบคุมลูกได้ดีมาก ตอนท้ายคลาสก็ให้แข่งกันซึ่งเราก็แพ้อย่างง่ายดาย พอจบคลาสเราก็ไปบอกครูว่าเห็นไม๊บอกแล้วว่าเราแพ้แน่ ครูกลับหันมาบอกว่า “Oh! You did great!” เราได้ยินแล้วก็ได้แต่ก็ยิ้มรับแล้วก็ลากลับ

นี่ไงหล่ะคำชมที่เราอยากได้นักอยากได้หนา ทำไมวันนี้ถึงไม่อยากได้ ทำไมเมื่อได้แล้วรู้สึกไม่ดี เพราะอะไรกัน? ปกติเมื่อได้รับคำชมเราจะรู้สึกภูมิใจ ใจฟู รู้สึกว่าเราดีกว่าคนอื่น แสดงว่าที่เราไม่ได้รู้สึกดีกับคำชมนี้เพราะเรารู้ตัวเองดีว่า ไม่ได้ดีกว่าคนอื่นในที่นั้นอาจจะแย่ที่สุดด้วยซ้ำ และเราก็รับความจริงได้เพราะคนนึงเป็นครูและอีกคนนึงก็เล่นได้ดีกว่าเรามากจริงๆ ดังนั้นคำชมจึงไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้ เรากลับคิดว่าจะได้คำติว่าเรายังไม่ดีตรงไหนควรปรับปรุงอะไรมากกว่า หวังว่าจะได้คำติกลับได้คำชมเสียนี่!

มานึกถึงคำชมที่ครูพูดในตอนนั้นจะหมายความอย่างไรได้บ้าง ก็เป็นไปได้ว่าที่พูดออกมาอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยเป็นแค่คำติดปาก เพราะจากที่เคยดูครูคนนี้เวลาสอนมักจะพูดชมและให้กำลังใจลูกศิษย์ตลอดเวลา เหมือนที่คนอเมริกันทั่วไปเมื่อเจอกัน มักจะเอ่ยคำทักทายแล้วต่อด้วย How are you? ถามว่าอยากรู้ว่าอีกฝ่ายนึงเป็นอย่างไรจริงไม๊ก็อาจจะมีบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ คนตอบก็ไม่ได้ตอบว่าเป็นอย่างไรแบบจริงๆจัง ก็ตอบด้วยคำติดปากอีกเช่นกัน ว่า Good! หรืออะไรก็ว่าไป ซึ่งก็ไม่ได้มีความหมายอะไร

แต่ก็เป็นไปได้ที่ครูอาจจะหมายความอย่างที่พูดนั้นจริงๆ สิ่งที่เราทำที่เราคิดว่ายังไม่ดีพอ อาจจะดีพอแล้วสำหรับครูและสำหรับการเรียนในคลาสนี้ หรือไม่ครูอาจจะไม่ได้หมายความอย่างที่พูดเลยสักนิดแต่พูดไปเพื่อถนอมน้ำใจ ครูอาจจะรู้สึกว่าเราทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานของนักเรียนในคลาสนี้ แต่พูดชมเพราะอยากให้กำลังใจก็เป็นไปได้ ที่ผ่านมาเรามักจะตีความว่า คำชมจะต้องมาพร้อมกับความรู้สึกชื่นชมและการยอมรับความสามารถในตัวเราเสมอ เราจึงอยากได้คำชม แต่จากการพิจารณาคำชมของครูเทนนิสคนนี้แล้ว เราได้เห็นความจริงว่า เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจริงๆแล้วภายใต้คำชมนั้นเค้ารู้สึกอย่างไร

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใจเรา ถ้าหากเราเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเรา ยอมรับความจริงนั้นได้และไม่หลอกตัวเอง คำชื่นชมก็จะไม่ทำให้ใจฟูไม่ทำให้เราคิดว่าเราดีกว่าใคร ในทำนองเดียวกัน คำติก็จะไม่ทำให้เราเสียใจหรือหดหู่ได้เช่นกัน เราเคยไปต่อขนตาให้ยาวเพื่อให้ดูตาโตขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครมาว่าว่าตาเล็ก ซึ่งถ้าหากเรารับความจริงได้ว่าตาเราเล็กจริงๆ การต่อขนตาก็ไม่ได้ช่วยให้ตาเราโตขึ้น ก็คงไม่ต้องเสียเงินไปต่อขนตาและมีอาการแพ้ทำให้ตาบวมต้องหยอดยาแก้แพ้ทุกวันจนถึงตอนนี้

หรือการที่เราอยากได้อยากมีกระเป๋าแบรนด์เนมเพราะไม่อยากให้ใครว่าว่าเราจน หากเราเห็นและรับความจริงได้ว่า ตัวเราเป็นคนไม่มีรายได้ต้องพึ่งสามีในการดำรงชีวิตอยู่เพราะไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ นี่ก็แสดงว่าเราจนจริงๆ ใครมาว่าเราจนก็คงไม่รู้สึกอะไร หรือเมื่อก่อนใครมาพูดเปรียบเทียบว่าเราไม่สวยแต่น้องสาวสวย เราจะเก็บเอาไปน้อยใจเป็นทุกข์มากมาย แต่พอเรายอมรับความจริงได้ว่า เราหน้าตาธรรมดาจริงๆ ไม่ได้โดดเด่นและน้องเราก็หน้าตาสวยจริงๆ คำเปรียบเทียบต่างๆก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้อีกต่อไป

ก่อนหน้านี้จะไม่ยอมให้มีผมขาว จะถอนออกหรือไม่ก็ทำสีปิดผมขาวเพราะไม่อยากให้ใครมาว่าว่าแก่ แต่มานั่งนึงดู อายุก็ปาเข้าไปเกือบจะครึ่งร้อยละ ก็คงเริ่มแก่จริงๆแล้วจะมามัวนั่งกลัวคนอื่นว่าแก่ไปทำไม จากที่เคยอยากได้บ้านที่ใหญ่กว่านี้เพราะไม่อยากให้คนที่มาเห็นว่าบ้านเราเล็ก ซึ่งในความเป็นจริงเรามีเงินพอที่จะซื้อบ้านได้ราคาเท่านี้และขนาดที่เหมาะสมกับจำนวนคนที่อยู่ในบ้านเท่านี้ ซึ่งถ้าเทียบกับบ้านของคนอื่นบ้านเราก็เล็กจริงๆ แล้วเราจะกลัวคนอื่นว่าไปทำไมในเมื่อมันเป็นความจริง

เอ้า!!! แค่นี้เองหรือ คำชม คำติ ที่เคยทำร้ายเรามาตลอดชีวิต จะไม่มีความหมายและไม่ทำให้เราทุกข์ได้อีกเลย เพียงแค่เรามองเห็นความจริงและยอมรับความจริง เท่านี้เองหรือ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะได้รับคำชมหรือคำติ เราก็คิดไปเองต่างๆนาๆ ว่าคนโน้นคนนี้รู้สึกกับเราอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่ได้มองความเป็นจริงเลย แล้วก็ปล่อยให้การคิดไปเองมาทำร้ายตัวเรา ทำร้ายคนรอบข้าง มากำหนดการกระทำ มากำหนดเป้าหมายในชีวิต และถือเอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นสาระสำคัญ ทั้งๆที่เป็นแค่เพียงคำพูดที่ผ่านมาแล้วผ่านไป จับต้องไม่ได้ด้วยซ้ำ

ตอนนี้รู้แล้วว่า ตัวเองนี่แหล่ะที่ทำให้ชีวิตตัวเองมันยาก ไม่ได้มีใครมาทำอะไรเราเลยเราทำตัวเองทั้งนั้น ต่อไปไม่ว่าจะได้รับคำชม หรือคำติ ก็จะมองให้เห็นความจริงของตัวเราก่อน เพราะเราได้เห็นแล้วว่าการที่จะมีใครมาชื่นชมหรือมาเห็นความสามารถนั้นมันไม่ใช่สาระสำคัญ แต่อยู่ที่เรารู้ว่าจุดมุ่งหมายของเราคืออะไร เราทำไปเพื่ออะไร เรามีความพยายามมากน้อยแค่ไหน หากได้รับคำติ ก็จะมองให้เห็นความจริง มองให้เห็นประโยชน์ที่จะนำมาใช้ได้จากคำตินั้น พยายามนำมาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เพราะมันไม่สำคัญเลยว่าใครจะเห็นว่าเราเป็นอย่างไร เราควรจะมองให้เห็นตัวเองเพราะมีเพียงคนเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราให้ดีขึ้นได้ นั่นก็คือตัวเราเอง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *