ทุกเย็นสามีจะโทรมาคุยจากเมืองไทยซึ่งเราจะให้คุยกับลูกๆก่อนเมื่อคุยกับลูกเสร็จก็จะมาคุยกับเรา คำถามที่สามีจะถามทุกวันคือ “วันนี้แม่ทำอะไรบ้าง” ซึ่งเป็นคำถามที่เราไม่ชอบเลย พอเค้าถามเราก็มักจะตอบว่า ไม่ได้ทำอะไร หรือตอบแบบไม่ค่อยอยากตอบ บางทีถึงขนาดขอวางโทรศัพท์ไปทำอย่างอื่นเพราะไม่อยากคุยต่อก็มี แต่มาวันนี้ สามีไม่ถามคำถามนี้เลยทั้งๆที่เราเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วว่าจะตอบอย่างไรบ้าง คำถามเดิมที่เราไม่ชอบแต่พอเค้าไม่ถามเรากลับแปลกใจและไม่พอใจว่าในวันที่เราเตรียมคำตอบไว้แต่เค้ากลับไม่ถาม อย่างนี้คนที่ผิดปกติน่าจะเป็นเรามากกว่าคำถามหรือคนที่ถามหล่ะสิ
วันนี้สังเกตุตัวเองได้ชัดเจนว่า เมื่อเราได้ทำอะไรสำเร็จในวันนั้น เช่น ติดต่อเรื่องโรงเรียน ติดต่อเรื่องประกัน หรือเรื่องอะไรที่เราได้ลงมือทำและสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เราจะมีความยินดีที่จะเล่าให้สามีฟัง เรียกว่ารอคอยใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่จะถามเพราะฉันพร้อมจะตอบ ความรู้สึกของตัวเองคือ เห็นไม๊ว่าฉันเก่ง วันนี้ฉันทำได้ตั้งหลายอย่าง ฉันนี่แน่เหมือนกันใช่ไม๊ แต่ในทางตรงกันข้าม หากวันนั้นไม่ได้ทำอะไรให้สำเร็จ เกิดขี้เกียจนั่งดูละครหรือทำอะไรไร้สาระทั้งวัน พอสามีถามว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง เราจะไม่พอใจทันทีเพราะรู้สึกเหมือนโดนตำหนินั่นเอง
สิ่งที่เราเห็นผิดไปก็คือ หากวันนั้นทำอะไรสำเร็จจะได้รับความชื่นชมจากสามี แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรจะได้รับการตำหนิ เราไปแปลความหมายของคำถาม “วันนี้ทำอะไรบ้าง” ว่า เป็นการถามเพื่อจะชื่นชมหรือเพื่อตำหนิ ทั้งที่จริงๆแล้ว คำถามนั้นอาจจะถามจากความเป็นห่วง ถามเพื่อชวนคุย หรือแม้กระทั่งถามไปอย่างนั้นเองทำนองเดียวกับที่เราเคยบังเอิญเจอเพื่อนแล้วถามเพื่อนว่า ไปไหนมา ทั้งๆที่ไม่ได้อยากรู้เลยว่าเค้าไปไหนมา เราคิดไปเอง ตีความไปเองฝ่ายเดียวแล้วก็เก็บมาไม่พอใจ น้อยใจไปเอง
นี่แสดงว่ามันไม่เกี่ยวกับคำถามแต่เกี่ยวกับคนที่ถามคำถาม เราเอาความรู้สึกหรือปมในใจของเราที่มีต่อคนนั้นๆ ไปใส่ไว้ในคำถามหรือแม้กระทั่งคำพูดเล็กๆน้อยๆที่เค้าพูดออกมา เช่น สามีจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีระเบียบและไม่ค่อยปล่อยให้มีงานค้าง ในขณะที่สำหรับเราอันไหนไม่รีบก็ยังไม่ทำหรือบางทีปล่อยไว้จนลืม และลึกๆแล้วเราคิดว่าสามีไม่ค่อยเชื่อในความสามารถของเราดังนั้นคำถามของสามีจึงกลายเป็นคำตำหนิ หรือกับแม่เราเคยคิดว่าแม่รักแต่น้องห่วงแต่น้อง พอเราขับรถชนแล้วแม่พูดว่า ทีหลังก็ระวังหน่อยนะ เพียงเท่านี้เราก็โวยวายใหญ่โตว่าใช่สิเรามันทำอะไรก็ไม่ดี ที่เลวร้ายกว่านั้น เมื่อน้องสาวขับรถชนบ้าง เรากลับยินดีว่าแม่จะได้เห็นว่าน้องก็พลาดเหมือนกัน!!!
โอ๊ย… ตายแล้ว นี่เราเป็นถึงเพียงนี้เลยรึ ปมในใจทำให้ความเห็นของเราเพี้ยนไปจนเกิดความยินดีที่น้องขับรถชนเลยหรือนี่ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงมีสักวันหนึ่งที่เราจะยินดีไปกับความผิดพลาดของสามี ปมนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนใจร้ายขนาดนั้นเลยหรือ เมื่อเราไม่อยากเป็นแบบนั้น ดังนั้นต่อไปจะพยายามไม่เอาปมในใจของเราไปตัดสินใครหรือคำพูดของใครอีก หากไม่พอใจคำพูดของใคร ต้องพยายามพิจารณาว่าความไม่พอใจเกิดจากอะไร หากเกิดจากปมของเราก็จะพยายามหาหลักฐานว่าเราเห็นผิดอย่างไร คิดไปเองอย่างไร จะได้ไม่กลายเป็นคนใจร้ายจากการคิดไปเองของตัวเองอีก