วันก่อนฝันถึงคุณแม่ โดยในฝันคุณแม่สวมชุดที่เราเจอเป็นวันสุดท้ายก่อนท่านจะเสีย ศรีษะไม่มีผมจากการให้ยารักษามะเร็งเหมือนในวันนั้นแต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือใบหน้า คุณแม่ที่ฝันเห็นนั้นมีใบหน้าที่อ่อนวัย สวย และมีรอยยิ้มที่สดใสมาก ด้วยความดีใจที่ได้เจอเราจึงเข้าไปกอด แต่ปรากฏว่าท่านนิ่งเฉยเหมือนเรากอดหุ่นที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ เมื่อเงยขึ้นมองหน้าคุณแม่ก็ยังเห็นใบหน้าที่ยิ้มอยู่อย่างนั้นแต่ในดวงตาไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย ตอนนั้นรู้สึกได้ทันทีเลยว่าคนนี้ไม่ใช่คุณแม่ของเรา เมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังจำความรู้สึกในฝันนี้ได้แม่นเหมือนเกิดขึ้นจริง
มานั่งถามตัวเองว่าในฝันนั้นเราต้องการอะไร เราเข้าไปกอดแม่เพราะอะไร เป็นเพราะเราคิดว่าคนที่มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้คือคุณแม่ของเราและยังเป็นแม่เราเหมือนเดิม อ้อมกอดแม่คงเหมือนเดิม แม่ยังรักเราเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ แต่แล้วความจริงก็กระแทกหน้าเราอย่างจังในความฝันนั้นเองว่า สิ่งที่เราคิดมันเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม ทุกความรู้สึกที่เราเคยมีต่อคุณแม่หรือแม่มีต่อเรามันจบไปแล้ว ถึงเราจะเจอแม่ในความฝัน ถึงแม้เสื้อผ้า หน้า ผม จะเหมือนเดิม แต่ท่านก็ไม่ใช่แม่ของเราอีกต่อไป ทุกอย่างมันผ่านไปแล้วจริงๆ
นี่เราเป็นคนไม่ปล่อยผ่าน ยังเป็นคนที่ไม่เข้าใจเรื่องความเปลี่ยนแปลง แสดงว่าเวลาที่เราพิจารณาความไม่เที่ยง เรามักจะพิจารณาในแง่ที่ว่าสิ่งต่างๆอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด หรือความเป็นไปได้อื่นๆที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ แต่เราไม่เคยมานั่งพิจารณาความไม่เที่ยงในแง่ของความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆอย่างจริงจัง เราไม่เคยมองเห็นว่าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตัวเรา คนรอบตัว หรือสิ่งรอบตัว ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา
นอกจากไม่ปล่อยผ่านเรายังยึดทุกอย่างไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการเอาความรู้สึกของเราไปใส่ไว้ที่บุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือแม้กระทั่ง หนังหรือเพลงที่เราชอบ นี่คงเป็นคำตอบที่เราเคยสงสัยว่า ทำไมเมื่อเราได้ยินเพลงที่เราเคยชอบ มักจะมีภาพในอดีตและความรู้สึกของเราที่เกี่ยวข้องกับเพลงนั้นตามมาเสมอ เช่นเพลงที่เคยฟังกับแฟนคนเก่า เมื่อได้ยินอีกครั้งก็มักจะทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เลิกกัน ความรู้สึกความเสียใจในตอนนั้น และตามด้วยความโกรธจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ก็เพราะเราเอาความรู้สึกไปใส่ไว้ในเพลงและยึดเอาไว้ โดยไม่ได้พิจารณาความจริงที่ว่า วันนั้น เหตุการณ์นั้น ความรู้สึกนั้น มันผ่านไปนานแล้ว มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หรือแม้แต่กับลูก เราก็เอาความความสุขของการได้ครอบครอง การได้เป็นคนสำคัญที่สุดของลูก การได้รับความรักอย่างเต็มที่จากลูก ความสุขจากการได้อุ้มได้กอดได้หอมเมื่อลูกยังเด็ก เอาไปใส่ไว้ในตัวลูกและยึดไว้ว่าความรู้สึกต่างๆเหล่านั้นจะยังเหมือนเดิม โดยไม่มองความจริงว่า ลูกเติบโตขึ้นทุกวัน ความคิดความอ่าน อารมณ์ความรู้สึก เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเอาความรู้สึกเหล่านี้ไปใส่ไว้ในรูปภาพตอนเด็กๆของลูก เมื่อได้นั่งดูก็มีความสุขแต่ก็มักจะตามมาด้วยความทุกข์จากการอยากได้ความสุขนั้นกลับมาทุกครั้ง
และนี่ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่าความทุกข์ความสุขที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวันเกิดจากตัวเราเองทั้งนั้น เราเองที่เป็นคนเอาความสุขไปใส่ไว้กับสิ่งนั้น เอาความทุกข์ไปใส่ไว้กับสิ่งนี้ เมื่อได้เจอได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นอีก ก็เกิดความรู้สึกไปตามที่เราเคยใส่เอาไว้ เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุขกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วอยู่อย่างนั้น นี่เราจะทำไปเพื่ออะไรกัน? สิ่งที่ควรจะปล่อยผ่านไปแต่เรากลับไม่ปล่อย กลับเอามาทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ต่อไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีกจะแก้ไขด้วยการพิจารณาให้เห็นว่า สิ่งเหล่านั้นมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้ว และจะพยายามพิจารณาเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆรอบตัวให้มากขึ้น ให้ละเอียดขึ้น เพราะเมื่อเราเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากต้องสัมผัสสิ่งที่ย้ำเตือนความจำของเราอีกเราก็จะไม่เอาความรู้สึกต่างๆกลับมาทำร้ายตัวเองอีกเหมือนที่เคยผ่านมา และหวังว่าจากนี้ไปความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง จะช่วยยั้งไม่ให้เราเอาความรู้สึกไปผูกและยึดไว้กับสิ่งใดๆ อีกต่อไป