ถูกกระทำ(2)

นอกจากสิ่งที่เราเห็นผิดไปเรื่องลูกแล้ว สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์มากในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ ความรู้สึกที่โดนเปรียบเทียบว่าด้อยกว่า ซึ่งจะเป็นการตำหนิเชิงเปรียบเทียบว่าวิธีที่เราเลือกใช้มันไม่มีประสิทธิภาพและไม่ได้ผลเหมือนวิธีที่เค้าเลือกใช้ เมื่อมาลองพิจารณาตัวเองดูดีๆว่าทำไมเราถึงไม่พอใจทำไมเราถึงทุกข์กับการเปรียบเทียบนี้ ถ้าลองเปลี่ยนคนที่พูดเป็นคนที่เรานับถือ เลื่อมใส เราคงไม่โกรธ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเราคิดว่าเราดีกว่าคนที่พูด เมื่อเค้ามาพูดว่าเค้าทำดีกว่าเราก็เลยไม่พอใจ นี่ไง เจ้าแม่แห่งการเปรียบเทียบ ออกมาวาดลวดลายอีกแล้ว

เราคิดว่าเราไม่พอใจที่ถูกเปรียบเทียบ แต่จริงๆแล้วเป็นตัวเราเองที่คอยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เราไม่รู้หรอกว่าคนที่พูดจงใจจะเปรียบเทียบหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือเราเปรียบเทียบตัวเองกับเค้ามาตลอดว่าเราทำดีกว่าเค้า เราไม่เห็นด้วยกับวิธีที่เค้าทำและเราเชื่อว่าวิธีที่เราเลือกเป็นวิธีที่อ้างอิงความจริงที่เราเคยเห็นผลดีที่เกิดจากวิธีนี้มาหลายครั้ง ดังนั้นวิธีของเราต้องดีกว่า และนั่นก็หมายความว่า เราดีกว่าเค้า นั่นเอง

อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนมากๆคือ มีวันหนึ่งเราขับรถและกำลังรอเลี้ยวซ้าย ลูกก็พูดขึ้นมาว่าทำไมไม่เลี้ยวซักทีรถว่างแล้ว เราโกรธทันทีและพูดออกมาว่า แม่ขับรถมา 30 กว่าปี ส่วนลูกยังขับรถไม่เป็นเลย ทำไมถึงกล้ามาพูดกับแม่แบบนี้! นี่คือเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกอย่างชัดเจนว่า เราประสบการณ์มากกว่าย่อมรู้ดีกว่า เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดว่ารู้ดีกว่าเรา ซึ่งในสถานการณ์นั้น หากเราไม่โกรธเราคงได้อธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมเราถึงยังไม่เลี้ยวซึ่งน่าจะได้ประโยชน์สำหรับลูกมากกว่าการโกรธ เพราะต่อไปลูกอาจจะไม่กล้าพูดไม่กล้าแนะนำอะไรแม่อีกเลย

แสดงว่าเมื่อคนที่เราคิดว่าไม่ดีเท่าเรามาตำหนิ ให้คำแนะนำหรือเปรียบเทียบว่าเราด้อยกว่า เราจะไม่พอใจขึ้นมาทันทีโดยที่ไม่ทันได้คิดพิจารณาอะไรเลย จากความไม่พอใจก็กลายเป็นเสียใจแล้วก็เห็นว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำหนักเข้าไปอีกจนทำให้มองเห็นอะไรผิดเพี้ยนไป จากนั้นความห่วงตัวเองก็รับช่วงทำหน้าที่ของมันต่อ ก็ยิ่งทำให้ทุกข์ตรมโศกเศร้าไปกันใหญ่ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยที่จะอยู่กับความทุกข์ที่เกิดจากการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแบบนี้

ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา หากเราได้รับฟังโดยที่ไม่ได้คิดเปรียบเทียบว่าตัวเองดีกว่าก็จะไม่มีอารมณ์โกรธเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจะมองเห็นความจริงได้ว่า เงื่อนไขในชีวิตของแต่ละคนมันต่างกัน สิ่งแวดล้อมต่างกัน ความเป็นมาก็ต่างกัน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ว่าสิ่งที่ใครทำจะดีกว่าใคร สิ่งที่เค้าพูดมันเป็นเพียงความคิดเห็นไม่ใช่ความจริง และเป็นความคิดเห็นที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนด้วยซ้ำ ถ้าเรามองเห็นความจริงในวันนั้น เราก็คงไม่เอาความคิดเห็นของใครมาทำร้ายตัวเองให้เสียเวลาและเสียกำลังใจอย่างนี้

ต่อไปเวลาได้รับฟังอะไรในทำนองนี้ จะคอยสังเกตุตัวเองว่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครอีกหรือเปล่า หรือถ้าหากมีใครมาแนะนำอะไรแล้วเรารู้สึกไม่พอใจ นั่นก็แสดงว่าเรากำลังเปรียบเทียบตัวเองว่าดีกว่าเค้าอยู่ จะพยายามกำจัดความคิดที่ว่าเราดีกว่าออกไป และมองคำพูดเหล่านั้นใหม่ตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงความคิดเห็นหรือความเป็นจริง หากเป็นความคิดเห็นเราคงทำอะไรไม่ได้และปล่อยมันผ่านไป แต่หากคำพูดเหล่านั้นสะท้อนความเป็นจริงและเป็นสิ่งที่ควรแก้ไขก็จะหาทางแก้ไขต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *