ได้ฟังคลาสธรรมะของพระอาจารย์ที่ให้จับประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของนางวิสาขาที่พระอาจารย์นำมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการใส่บาตร เราสะดุดใจตรงที่นางวิสาขาเข้าไปบอกพระว่าไม่ต้องรอแล้วเพราะวันนี้คงไม่ได้ใส่บาตร เนื่องจากเห็นพ่อสามีเมินพระที่มายืนรอบิณฑบาตรอยู่ เรารู้สึกทันทีเลยว่านางวิสาขา ทำไมถึงคิดเองเออเองแล้วยังตัดสินใจไปบอกพระว่าจะไม่ใส่บาตรโดยไม่ถามพ่อสามีเลยว่าจริงๆแล้วพ่อสามีต้องการจะทำอย่างไร พอสะดุดใจแล้วเรื่องของตัวเองเมื่อเร็วๆนี้ก็ผุดขึ้นมาทันที
สัปดาห์ที่แล้วลูกสาวไปเข้าร่วมการแข่งขันด้าน Marketing Project กับทางโรงเรียนโดยเป็นการแข่งขันที่ต้องออกไปแข่งนอกสถานที่เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ก่อนวันที่ลูกจะกลับ เราก็คิดว่าลูกคงอยากกินอาหารไทยหลังจากทานอาหารที่โรงแรมมาหลายวันเลยไปซื้อขาหมูมาทำข้าวขาหมูไว้ให้ ซึ่งต้องต้มทิ้งไว้เกือบทั้งวันขาหมูจึงจะเปื่อย เราคิดว่าลูกคงอยากทานเพราะไม่ได้ทำนานมากแล้ว คิดว่าลูกชอบเพราะจากที่เคยทำก็เห็นว่าลูกทานได้เยอะ เราจึงทำและจัดเตรียมทุกอย่างโดยคิดไปเองอีกว่าเมื่อลูกกลับมาจะหิวและทานได้เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกกลับมาถึงบ้านบอกว่าเหนื่อยขอนอนพักถึงจะยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันแต่ขอนอนก่อน พอลูกตื่นขึ้นมาก็ บอกว่าไม่อยากกินข้าวขาหมู ตอนแม่ไปรับน้องให้แม่ซื้อเบอร์เกอร์มาฝากด้วย เท่านั้นแหล่ะ โกรธมากเสียใจโวยวายใหญ่โต พูดกับลูกว่า แม่ตั้งใจทำสิ่งที่ลูกชอบไว้ให้ ต้องใช้เวลาทำเป็นวันๆ ไม่คิดจะชิมแล้วยังมาบอกว่าไม่อยากทานอีก ไม่เห็นใจคนที่ตั้งใจทำให้บ้าง ไม่เคย appreciate สิ่งที่แม่ทำให้เลย จึงโดนลูกสวนกลับมาว่า ไม่เคยบอกว่าอยากให้แม่ทำ ไม่เคยบอกว่าชอบขาหมู แม่ต่างหากที่คิดไปเอง!
ตอนนั้นกลับโกรธหนักเข้าไปอีก ดูสิลูกพูดจากับแม่แบบนี้ได้อย่างไร ทำไมทำร้ายความรู้สึกแม่ขนาดนี้ คิดอยากจะพูดอะไรก็พูดอย่างนั้นหรือ ในเมื่อไม่เคย appreciate สิ่งที่แม่ทำให้ต่อไปก็จะไม่ทำอะไรให้อีก และยังไม่พอใจต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ วันนี้เมื่อฟังเรื่องของนางวิสาขา ทำให้ได้มองเห็นตัวเองชัดเจนว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้น เราคิดเองเออเอง ตัดสินใจทำเองโดยไม่ถาม และยังไม่ยอมรับความจริงเมื่อลูกชี้ให้เห็นว่าเราคิดไปเอง กลับโกรธลูก คิดไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจากสิ่งที่ลูกพูดว่า เค้าไม่คิดถึงความรู้สึกแม่ ไม่เคยพอใจในสิ่งที่แม่ทำให้ไปอีก
จากนั้นสิ่งที่นางวิสาขาทำต่อไปก็คือ เมื่อพ่อสามีไม่พอใจนางก็อธิบายเหตุผลในมุมของนางเพื่อให้คนอื่นเห็นว่านางไม่ได้ทำอะไรผิด นึกถึงตัวเองทันทีว่านอกจากไม่รับว่าคิดไปเอง ไม่ยอมรับความจริง แล้วยังพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองต่างๆนาๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่ามีความชอบธรรมที่จะโกรธลูกต่อไป ถ้าถามว่าตอนลูกพูดว่าแม่คิดไปเองเราไม่รู้สึกว่าเราผิดหรือ ก็ต้องตอบว่ารู้สึกแต่ไม่ยอมรับ เพราะเรามองเรื่องนี้จากมุมของเราเท่านั้น จนเมื่อได้ฟังเรื่องนางวิสาขาแล้วคิดตาม มันทำให้มองเห็นภาพจากเรื่องและเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเรา เราถึงเห็นภาพการกระทำของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น
เมื่อมานึกต่อว่าแล้วทำไมเราถึงยังโกรธเมื่อเราเองก็รู้ว่าเราผิดที่คิดเองเออเอง ลงมือทำไปเอง ทำไมเราถึงไปแปลความหมายของการที่ลูกไม่อยากกินว่าคือการที่ลูกไม่พอใจในสิ่งที่เราทำให้ ขั้นตอนการแปลความหมายของเราคือ เมื่อไม่อยากกิน = ไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจ = ตำหนิ นี่ไง! โรคอยากได้คำชมไม่รับคำติที่เป็นโรคประจำตัวของเรานั่นเอง นี่แสดงว่าโรคนี่ยังไม่หายไปไหน ยังแทรกอยู่ในทุกการกระทำและความคิดของเราอยู่เสมอ เราคิดว่าสิ่งที่เราทำให้จะต้องดีจะต้องทำให้เค้าพอใจแล้วเราจะได้รับคำชม แต่เรื่องกลับเป็นตรงข้าม แทนที่จะได้คำชมกลายเป็นคำตำหนิไป เราถึงได้โกรธและเสียใจมากมาย
สิ่งที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไปก็คือ ทั้งเรื่องคิดไปเอง เรื่องไม่ยอมรับความจริง เรื่องโรคต้องการคำชมไม่รับคำตินั้น เป็นสิ่งที่เราพิจารณาตลอดเป็นปีๆมาแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่ออยู่ในเหตุการณ์จริง เราไม่เคยรู้ทันความคิดของตัวเองสักครั้ง ได้แต่รอให้เกิดเรื่องราวขึ้นแล้วค่อยมานั่งคิดพิจารณาตามทีหลังทุกครั้งไป เป็นพวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอย่างแท้จริง นี่แสดงว่าเราขาดการฝึกฝนในการนำความรู้มาใช้ ทุกครั้งที่เราพิจารณาเราจะจบที่บทสรุปของเรื่องนั้นและรู้ว่าควรทำอย่างไร แต่ ไม่ได้นำไปทำอย่างต่อเนื่อง เปรียบเหมือนการพูดภาษาอังกฤษ ถ้าเราไม่ได้พูดทุกวันเมื่อจะต้องใช้จริงๆก็ลืม นึกไม่ออกว่าควรจะพูดว่าอะไร
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรระวังคือความประมาท เพราะเราคิดว่าเราพิจารณาเรื่อง คำชม-คำติ มามากพอสมควร จนคิดว่าเราเข้าใจเรื่องนี้ดีและอาการนี้น่าจะทุเลาลงไปมากแล้ว แต่เมื่อใดที่เราประมาทอาการนี้ก็กลับมาเล่นงานเราทุกทีไป ดังนั้นต่อไปจะพยายามทบทวนกับตัวเองทุกวันว่าสิ่งที่เป็นปมในใจของเราคืออะไร สิ่งที่เราเคยได้เรียนรู้ บทเรียนที่ผ่านๆมาคืออะไร เราผิดพลาดตรงไหน ควรระวังเรื่องอะไร เตือนตัวเองตลอดเวลาในทุกๆการกระทำ ไม่ประมาทถือดีว่าเราดีแล้วเราเก่งแล้ว แก้ไขตัวเองได้แล้ว เพราะจากเรื่องที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าถ้าเราไม่ระวังเราจะกลับไปเป็นคนเดิมที่มีปมเดิมๆได้ทันที