นั่งดู The Voice Thailand มี ชาย เมืองสิงห์ มาออกรายการ เค้านั่งรถเข็นออกมา แล้วข้างหลังเป็นรูปเค้าตอนหนุ่มๆ พอเริ่มร้องรู้สึกว่าดนตรีเพราะแต่เสียงร้องเค้าไม่เพราะเลย เข้า YouTube ไปลองฟังเพลงที่เค้าร้องแต่เป็น ต้นฉบับ พอฟังคือเค้าร้องแบบเดิม แต่น้ำเสียงเค้ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว เสียงไม่มีพลัง แหบ แล้วก็ไม่เพราะเท่าของเก่า พอร้องเสร็จพิธีกรก็บอกว่านี่คือ ศิลปินแห่งชาติ แล้ว ชาย เมืองสิงห์ ก็บอกว่าขอบคุณแฟนๆ ที่ยังรักชายเหมือนเดิม…
เรามานั่งคิดว่า คนที่ไปดู The Voice Thailand น่ะ จะต้องมีเด็กๆ มากกว่าเราพอสมควร คือขนาดเรายังไม่รู้จักเค้า โอกาสที่เด็กกว่าเราจะรู้จักก็น้อยอยู่ แต่ตอนนั้นคนก็กรีดร้อง ส่งเสียงไป เพราะมันเป็น โชว์ พูดอะไรก็ โห่ ก็ กรี้ด ถ้าเราเป็นชาย เมืองสิงห์ เราคงดีใจ แก่แล้ว นั่งรถเข็นร้องเพลง แต่คนดูยังต้อนรับขนาดนี้
<blockquote>รู้สึกเหมือนเราตรงที่ว่า เรายังติดกับความสำเร็จเดิมๆ แต่มันผ่านมานานแล้ว มันจบไปแล้ว ตอนที่เป็นนักว่ายน้ำเยาวชนทีมชาติ ภูมใจว่าว่ายน้ำเก่ง ว่ายน้ำเร็ว ตอนนี้ทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว แต่ยังภูมิใจอยู่</blockquote>
นึกแล้วมันน่ากลัวตรงที่ว่าเรากำลังภูมิใจในสิ่งที่เราทำไม่ได้อีกแล้ว ภูมิใจกับความไม่จริง แล้วก็เอาความรู้สึกตรงนั้นว่านี่คือตัวเรานะ เราทำได้นะ นี่เราคิดอยู่คนเดียวนะ เราภูมิใจอยู่คนเดียวนะ เหมือนชายเมืองสิงห์นะ คนอื่นๆ เค้ากรี้ดตรบมือ มันไม่ได้แปลว่าเค้าเห็นเหมือนเรา หรือตรงกับที่เราคิดเรารู้สึกเสมอไป จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น เคยขับรถได้ไกลๆ เคยทำงานดึกนอนน้อย ฯลฯ มันเหนื่อยมากที่จะตามความฝัน ตามความสำเร็จ ที่พอทำเสร็จแล้วก็จบไป แล้วก็ต้องหาอะไรมาทำใหม่ไม่จบไม่สิ้น