ฉันถูก

อ่านนิยายเล่มหนึ่งเป็นหนังสือที่อ่านไปได้ครึ่งเรื่อง แล้ววางเพราะเกลียดนิสัยของพระเอกมาก อ่านไปได้ครึ่งหนึ่งมีความรู้สึกถูกบีบคั้น สงสารที่ตกเป็นเหยื่อ เป็นที่รองรับอารมณ์ จนเราไม่สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ต่อไปอีกได้

ถามตัวเองว่าทำไม เพราะตัวเองไม่ชอบที่พระเอกข่มขืนนางเอก ในขณะที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ตัวเอง ก็อ่านหนังสือเล่มอื่นไปด้วย แล้วมีความรู้สึกว่า ทำไมนิยายไทยสมัยนี้มีแต่เรื่องขืนใจ ผู้ชายข่มเหงผู้หญิง มาตรฐานสังคมตอนนี้ ต่ำเตี้ยเรื่ยดินมาก กี่เรื่องกี่เรื่องเป็นอย่างนี้ไปหมด

นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้อ่านบทความที่มีคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับ Rape Culture ในประเทศไทย คนเขียนมีความเห็นว่าคนไทยเห็นการข่มขืนในบ้านเราเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่แบ่งเป็น 2 ระดับ คือปล้ำ กับข่มขืนจริง ถูกปล้ำพอให้อภัยและอยู่ด้วยกันต่อไป ถูกข่มขืน มีการฟ้องร้องและต้องโทษ

ซึ่งเป็นการย้ำหัวตะปูกับความคิดเราที่เกลียดพระเอก มันเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว เขาเห็นแก่ตัว ขืนใจผู้หญิง ตัดสินทันทีว่าเขาเป็นคนเลว ไม่อยากอ่านต่อแล้วเรื่องนี้

จำใจอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบ เพื่อให้โอกาสตัวเองได้เปิดมุมมองและทัศนคติ รวมถึงเราต้องฝึกนิสัยฝืนใจตัวเอง จนคืนนี้ที่เพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้จบด้วยน้ำตากับความรู้สึกที่เคารพในความเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเองของพระเอก ความรักของเขาช่างสง่างามและมั่นคงเหลือเกิน

ทำให้สะดุดใจว่า ทำไมความรู้สึกเมื่อแรกเริ่มเปิดอ่าน กับตอนอ่านจบแล้วมันต่างกันราวฟ้ากับเหว

โดยพื้นนิสัยตัวเองเป็นคนชอบตัดสินคนอื่น จากสิ่งที่เห็นเพียงผิวเผิน จากหน้าตา การพูดจา กิริยาท่าทาง ตัดสินอย่างเดียวไม่พอ ชอบคิดเองเออเองเสร็จสรรพว่าคนหน้าตาอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ คนมีนิสัยอย่างนี้จะประพฤติตัวอย่างนี้เท่านั้น

ด้วยความที่เชื่อความคิดของตัวเองว่าเราทำถูกต้อง ทำให้เป็นคนไม่ให้อภัยง่ายๆ ถ้ามีคนทำให้เสียใจ ฉันอาจยังคุยกับเธออยู่ยกโทษให้เธอบ้าง แต่ฉันยังจำได้ว่าวันนั้นเธอทำให้ฉันเสียใจแค่ไหน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราเป็นคนให้อภัยตัวเองไม่เป็น และเราจะผิดทั้งหมดไม่ได้ ชอบโทษคนอื่น สิ่งอื่น ต้องมีคนหรือเหตุการณ์ที่บังคับให้เราต้องผิดพลาด

แต่ในความเป็นจริงคนเรามีผิดพลาดกันได้ แต่เมื่อเรายอมรับว่าตัวเองผิดไม่ได้ ทำให้เราเลือกที่จะโทษคนอื่นสิ่งอื่นเป็นต้นเหตุ มีส่วนทำให้เราผิดพลาด สร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเองว่า จริงๆ แล้วถ้าไม่มีอะไรเข้ามารบกวนมาทำให้สะดุด ฉันต้องไม่ผิด ความผิดจึงเป็นของคนอื่นไม่ใช่ของเรา หรือถ้าจะยอมรับผิด จะยอมว่าผิดเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

การเชื่อความคิดตัวเองว่าเราทำถูกต้อง เป็นมูลรากของตัวเองที่มีนิสัยทำอะไรนาทีสุดท้าย เพราะชอบคิดว่าตัวเองทำได้ ควบคุมสถานการณ์อยู่ เมื่อมีการผิดพลาดก็เอาสิ่งอื่นเรื่องอื่นมาอ้าง มาเป็นข้อแก้ตัว ว่าการที่ฉันผิดพลาดเป็นเพราะว่าสิ่งรอบตัวเป็นเหตุ ฉันคิดคำนวนทุกอย่างมาดีแล้ว เมื่อมันมีเหตุทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย เป็นเพราะสิ่งอื่นไม่ใช่ฉัน

ทำไมไปซื้อของกลับมาสายมากถูกดุ ก็โทษว่ารถติดทั้งๆที่ตัวเองตื่นแล้วไม่ลุก เพราะดู GPS แล้วว่าต้องออกจากบ้านกี่โมงถึงจะไปทัน เมื่อ GPS บอกมาเท่านี้ ฉันก็ออกเวลาเท่านี้ ที่ฉันสายเป็นเพราะ GPS ไม่ใช่ฉัน

ตอนไปทำงานกับเพื่อน(A) Aบอกว่าเตือนคนนั้น(B) ด้วยนะว่าอย่าลืมทำอันนี้ เรารับปาก พอเจอหน้าB เราก็รีบบอกเขาทั้งๆที่ไม่ใช่เวลา แต่รีบบอกเพราะกลัวตัวเองจะลืมไม่อยากรับผิดชอบ หลังจากนั้นตัวเองก็ลืมจริงๆ ไม่ได้เตือนอีก ปรากฏว่า A ทะเลาะกับ B. A กับ B มาว่าเรา ว่าเป็นความผิดของเรา เราด่ากลับไปว่า แกจะมาว่าฉันได้ไง ให้ฉันบอก ก็บอกให้แล้ว บอกแล้วก็แล้วกันซิ นอกนั้นก็รับผิดชอบกันเอาเอง ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันไม่ผิด

รับออเดอร์อาหารมาไม่ดี ก็โทษว่าลูกค้าว่าไม่ฟังเรา ทวนแล้วไม่รู้จักฟัง ฉันไม่ผิด

เมื่อไม่ยอมรับผิดก็ไม่รู้จักขอโทษ คนที่ทำงานด้วยก็ปวดหัวจะเป็นบ้าเพราเกลียดที่จะทำงานกับเรา

ผลที่เราได้รับจากการโทษสิ่งอื่นคนอื่นทำให้เกือบโดนตัดออกจากสังคม เกือบโดนไล่ออกจากงาน เพราะนิสัยไม่ยอมรับผิดอันนี้นี่เอง

นี่ถ้ายอมทำตามใจตัวเอง ตัดสินหนังสือเล่มนี้เมื่อตอนครึ่งเล่มแล้วไม่อ่านต่อ จะไม่มีวันรู้เลยว่า นิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่นาทีสุดท้ายไม่ทำ มีเหตุมาจากการที่เราเชื่อแต่ความคิดตัวเอง ชอบตัดสินคนอื่น ไม่ยอมรับผิด ต้องหาแพะรับบาป เพราะถ้าเราทำผิดมันต้องมาจากคนอื่น สิ่งอื่นไม่ใช่มาจากตัวเอง ได้สร้างโทษให้ตัวเองมากแค่ไหน เมื่อเจอเหตุที่มี่เราเท่านั้นที่ทำให้ทุกอย่างมีผลออกมาเป็นอย่างนี้  แล้วคงต้องพยายามหาทางแก้ไขนิสัยคิดเองเออเอง เห็นแต่ว่าความคิดตัวเองถูกต้องต่อไป เพราะถ้าบ่มเพาะนิสัยเสียนี่ไว้ คงต้องตามรับผลของการกระทำของตัวเองไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

 

 

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *