วันนี้ได้รับ e-mail จากทางโรงเรียนว่า ลูกคนโตมีงานค้างและได้คะแนนน้อยในเทอมนี้ ทางครูเลยแจ้งผู้ปกครองเพื่อหาทางช่วย พอไปถามลูก ลูกก็บอกว่าผู้ปกครองได้รับ e-mail กันทุกคนแหล่ะ ก็เลยถามว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อไปให้แม่ช่วยอะไรไม๊ ลูกบอกไม่ต้องทำอะไรหรอก เค้าไม่แคร์ ได้ยินคำนี้ก็อึ้ง เกือบจะสวนกลับไปว่า ไม่แคร์ได้ยังไง รู้ไม๊พ่อแม่ต้องเสียสละแค่ไหนเพื่อให้มาเรียนที่นี่แล้วไม่แคร์ได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้พูดเพราะจับได้ว่า เรากำลังห่วงตัวเองซึ่งผิดประเด็นละ ประเด็นตอนนี้คือ เรื่องการเรียนของลูกไม่ใช่เรื่องความเดือดร้อนของแม่
สิ่งที่ทำต่อไปคือเงียบ นั่งทบทวนความรู้สึก ความคิดตัวเองว่าเมื่ออ่าน e-mail เกิดความคิดอะไรขึ้นมาบ้าง ความคิดแรกคือ เอาอีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว เวลาเข้าโรงเรียนใหม่ เทอมแรกจะเรียนดี ทำตัวดี พอเทอมต่อไปเริ่มออกฤทธิ์ ไม่สนใจเรียนอีกแล้ว คือด่วนสรุปโดยที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ ความรู้สึกต่อไปคือ ถ้ามีปัญหาจริงๆ เรียนที่นี่ไม่ได้ เราจะไปหาโรงเรียนที่ไหนให้เรียนอีกละเนี่ย นั่นคือกลัวตัวเองลำบากต้องหาที่เรียนใหม่ให้ลูก คิดไปถึงว่า นี่เราลงทุนซื้อบ้านซื้อรถ อดทนทำงานบ้านเองทุกอย่าง มาอยู่ห่างไกลญาติพี่น้อง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรือ แล้วยังรู้สึกเหมือนถูกครูตำหนิว่าไม่ดูแลลูกไม่คอยสอดส่องและดูแลเรื่องการเรียนของลูก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของเราล้วนๆ เราห่วงตัวเองทั้งนั้น ห่วงลูกตรงไหน?
พอเราเงียบไม่โกรธแต่ซึมๆไป ลูกกลับเป็นคนเข้ามาหา เข้ามาคุยด้วย เหมือนรู้ตัวว่าทำให้แม่เสียใจ พยายามมาง้อถึงขนาดมาขอให้แม่กอดจากที่ไม่เคยทำมาก่อน เป็นที่น่าแปลกใจมาก ตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงก็กอดไปตามที่ขอ พอได้มาอยู่คนเดียวก็เข้าไปดูในเวปไซด์ของโรงเรียนซึ่งจะดูได้ว่า ไม่ส่งงานเมื่อไหร่บ้าง ก็เห็นว่า งานที่ไม่ได้ส่งจะเป็นช่วงหลังจาก วันหยุด Thanksgiving ซึ่งก่อนวันหยุด ลูกไม่ได้ไปโรงเรียน ก็เป็นไปได้ว่าลูกไม่รู้ว่ามีงานหรือลืมส่งเพราะหยุดนาน เพราะช่วงก่อนหน้าวันหยุดก็ส่งงานปกติ ถึงตอนนี้ ดีใจมากที่ไม่ได้โวยวายไม่ได้ดุหรือสั่งสอนไป ไม่อย่างนั้นคงทะเลาะกันใหญ่โตเป็นแน่
แล้วต่อจากนี้ไปจะทำอย่างไร เราควรจะเข้าไปช่วยไม๊ ก็นึกถึงความเป็นจริงที่ว่า ถ้าลูกมีปัญหาแล้วเรายื่นมือเข้าไปช่วยทุกครั้ง ลูกจะได้เรียนรู้อะไร นี่เป็นปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น เค้าอาจจะคิดว่าไม่ส่งงานก็ไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ลูกก็ได้รู้แล้วว่า งานที่ต้องส่งจะมี record ทุกครั้ง และทางครูก็ไม่ปล่อยผ่านง่ายๆ งานที่ค้างส่งก็มีไม่กี่ชิ้น ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้ให้ลูกแก้ได้ปัญหาด้วยตัวเอง แต่ให้ลูกได้รู้ว่าเราพร้อมจะช่วยหากลูกต้องการความช่วยเหลือน่าจะดีกว่า
สำหรับเรื่องนี้จะไม่เข้าไปยุ่งถ้าลูกไม่ขอให้ช่วย และจากเรื่องนี้ทำให้ได้วิธีจับความรู้สึกตัวเองแล้วหาเหตุของความรู้สึกในตอนนั้น ยิ่งจับความรู้สึก ยิ่งค้นหาเหตุ มันช่างน่าแปลกใจที่เหตุมันมักจะวนมาจบที่ตัวเราเองแทบทุกครั้ง จะทำต่อไป และจะพยายามพิจารณาให้ต่อเนื่อง