มีชุดแต่งงานชุดนึงที่ร้านเราออกแบบมาให้มีโบว์อันใหญ่ด้านหลัง ตอนเราไปโชว์ชุดนี้ครั้งแรกที่นิวยอร์ก เราได้ฟีดแบ็คจากร้านต่างๆที่ซื้อชุดยี่ห้อเราไปขายว่ามีลูกค้าเยอะมากที่ไม่อยากผูกโบว์เอง อยากได้โบว์สำเร็จ เพราะกลัวว่าผูกเองจะไม่สวย ถ้าเป็นโบว์สำเร็จแบบติดตะขอ เอาไปติดด้านหลังเลยโดยไม่ต้องผูกจะง่ายกว่ามาก เนื่องจากโบว์อันนี้ที่มีอยู่มันต้องแก้แพทเทิร์นอยู่แล้ว เจ้านายเลยคิดว่าลองหาวิธีทำโบว์สำเร็จดีกว่า เจ้านายเลยให้เราไปออกแบบหาวิธีมา
เราไปทดลองออกแบบหาวิธีใหม่ๆหลากหลาย จนคิดว่าได้อันที่สวยงามอลังการที่สุดโดยการเพิ่มเลเยอร์ของผ้าTulle เข้าไปด้านในของผ้า Silk Organza เพื่อทำให้โบว์มีรูปทรงที่สวยพองไม่แบน และคงรูป เราคิดแบบแพทเทิร์นโบว์อย่างละเอียด ให้เพื่อนๆที่ทำงาน ให้ช่างดู ทุกคนก็ว่าสวย เวิร์คมาก เราทำเอง เราก็ว่าโบว์นี้เลิศที่สุดแล้ว เราเนี่ยเก่งจริงๆ ปรากฎว่าพอเอาไปโชว์เจ้านาย เค้าไม่ชอบ เค้าบอกว่าแพทเทิร์นไม่มีรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งเลย ในใจเราก็ขึ้นเลยว่า อันนี้แค่ทำมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ยังไม่ใช่อันจริง แล้วเธอก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากให้เห็นตะเข็บโชว์ผ่านผ้าเนื้อบาง ถ้าเธอไม่อยากมีตะเข็บ แพทเทิร์นจะมีความเว้าโค้งไม่ได้ เพราะรอยพับต้องเป็นเส้นตรง shaping ต้องมาจากการจับพลีทโบว์ คิดในใจเธอก็น่าจะรู้ โอดิฉันเคืองมาก แถมบอกเราว่าแล้วแบบโน้นแบบนี้ล่ะลองรึยัง เราก็ยิ่งขึ้นในใจว่า ไอ้ที่เธอบอกชั้นลองตั้งแต่แรกแล้วมันไม่เวิร์ค นั่นมันเวอร์ชั่นแรก นี่ชั้นพัฒนามาให้เป็นเวอร์ชั่นที่ 6 แล้วนะเธอไม่เก็ทเหรอ ที่แย่ไปกว่านั้นเจ้านายบอกว่าเราต้องทำให้เสร็จเพราะจะต้องส่งออเดอร์แรกให้ลูกค้าร้านแรกวันพรุ่งนี้ เจ้านายลังเลว่าหรือจะไม่เปลี่ยนโบว์ กลับไปเอาแบบเดิมที่ทำตอนแรกดี เราเลยฉุนกึ๊กถึงขีดสุด เพราะการที่เจ้านายพูดแบบนั้นสำหรับเรา เราแปลความหมายว่า เค้าว่าเราทำช้าทำให้งานดีเลย์ ทั้งๆที่เราตั้งใจทำมาก ทดลองเป็นสิบๆแบบ และทำเร็วที่สุดแล้วเท่าที่จะทำได้ เค้านั่นแหละ เงื่อนไขเยอะเอง แล้วการที่เค้าอยากกลับไปใช้โบว์อันเดิม สำหรับเรามันเป็นไอเดียที่แย่มาก เพราะโบว์อันเดิมแพทเทิร์นมีความบกพร่องเยอะมาก เราคิดว่าของดีๆเราทำให้ไม่เลือก กลับไปเลือกของห่วยๆ เราคิดในใจว่า “It’s so obvious that mine is so much better” ประมาณว่าตาบอดหรือไง เห็นๆอยู่ว่าของเราดีกว่าตั้งเยอะ อันดีๆมีให้เลือกเยอะแยะ กลับจะไปเลือกอันเก่าที่ห่วยที่สุด สุดท้ายเจ้านายก็คิดแบบการผูกโบว์ง่ายๆขึ้นมาอันนึง ไม่ใช้โบว์ที่ผูกสำเร็จด้วยซ้ำ แล้วตัดสินใจเลือกอันนั้น แทนที่จะเลือกโบว์อลังการงานสร้างของเราที่สุดยอด Haute Couture
หลังเรื่องโบว์ทางโลกจบ ส่งของให้ลูกค้าเสร็จ เราก็กลับมานั่งพิจารณาความอึดอัดใจ ก็พบว่าเรามีสมการในใจคือ
โบว์ของฉัน = สวยที่สุด = I work hard on it = ดีกว่า = ไม่มีใครทำได้สวยกว่าฉันแล้ว = It’s obvious. (มันเห็นๆอยู่อย่างชัดเจน) —–> ดังนั้นเจ้านายต้องชอบแน่ๆ
แต่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้
โบว์ของฉัน = ไม่เพอร์เฟ็ค ยังต้องแก้ = เรายังทำได้ไม่ดีพอ = เจ้านายว่าให้ช่างทำแพทเทิร์นทำดีกว่ามั้ย —–> ดังนั้นเจ้านายเลยไม่เอา
*สิ่งที่เราคาดไว้ผลทุกอย่างมันออกมาตรงข้ามมิน่าเล่าเราถึงโกรธมาก
พอเรามาดูสมการในใจเราแล้วเราเลยเห็นได้ว่าเราปักเที่ยงหลายจุดมาก
- เราคิดว่าโบว์อันนี้สวยที่สุด ใช่สวยจริงในใจเราและเพื่อนของเรา แต่จะมีใครบ้างมั้ยที่ไม่ชอบโบว์นี้ มันเป็นไปได้นะ ดูอย่างลูกค้าสิ บางคนไม่ชอบโบว์ด้วยซ้ำ กลับชอบผูกเป็นปมเฉยๆไม่มีหูโบว์ บางคนชอบโบว์ใหญ่ๆที่เราว่าเวอร์ดูไม่สวย บางคนชอบโบว์อันเล็กๆที่เราว่าเล็กเกิน บางคนไม่ชอบโบว์ฟูๆ ชอบโบว์ที่ห้อยลงมาแบนๆ ไม่ยื่นออกมาจากข้างหลังมาก หลากหลายคนหลากหลายความชอบ หลักฐานก็มีอยู่มากมาย เราเชื่อไปได้ยังไงว่าโบว์พองๆสวยๆ จะสวยที่สุด แล้วทุกคนจะชอบ
- I work hard on it = ดีกว่า จริงเหรอ ก็เห็นแล้วนี่นาว่ามันไม่จริง เราทำตั้งเยอะแต่เจ้านายไม่ชอบให้แก้ใหม่หมด บางทีแก้ชุดให้ลูกค้าเยอะแยะเค้าก็ยังไม่ปิ๊ง หรือเราตั้งใจทำกับข้าวให้สามีกิน ทำอยู่ตั้งนาน ทุ่มเทสุดตัว คุณสามีก็ยังเอาน้ำปลามาเติมแล้วขอมะนาวเพิ่ม แต่บางทีเราทำอะไรง่ายๆไม่ได้เวิร์คฮาร์ดเลยเค้ากลับชอบ เราเลยคิดได้ว่าการทำงานเยอะ ทุ่มเท เวิร์คฮาร์ด บางครั้งมันไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้ผลออกมาดี บางครั้งการที่ผลออกมาดีมันมาจากปัจจัยอื่น เช่นความชอบของคุณสามี หรือความพอใจของลูกค้า
- ที่เราคิดว่า It’s obvious. มัน obvious ในใจเราคนเดียว หลังจากพิจารณาข้อ 1-2 เราก็เห็นว่าเราปักเที่ยงมาเยอะจนถึงข้อนี้ ทำให้เราเราคิดไปได้คนเดียวว่า It’s obvious. ว่าโบว์เราดีที่สุด ต้องอันนี้เท่านั้นที่เค้าควรเลือก ทั้งๆที่ความเป็นไปได้อื่นๆมันมีเป็นร้อยเป็นพัน
จากนั้นเราก็คิดต่อว่าการที่เราจะเลือกว่าอะไรดีที่สุด เหมาะที่สุดเราเลือกยังไง เราก็เลยนึกถึงตอนที่เราเลือกเครื่องปั่นผักผลไม้ ว่าทำไมเราเลือกยี่ห้อนี้ ก็ได้คำตอบมาว่ายี่ห้อนี้มันปั่นได้ละเอียดสุด แม้จะแพงที่สุด แล้วทำไม่เราเลือกรุ่นนี้ แทนที่จะเป็นอีกรุ่นที่ถูกกว่า เราเลือกเพราะเสียงมันเบากว่า 40% จะเห็นได้ว่าในตอนแรก เราเลือกยี่ห้อนี้เพราะความสามารถในการปั่น ซึ่งสำหรับเรามันสำคัญที่สุด เพราะเราอยากได้สมูตตี้ที่ข้นเนียน ดังนั้นราคาจึงไม่เป็นสิ่งที่สำคัญ และที่เราเลือกรุ่นที่แพงกว่าอีกรุ่นเพราะเสียงมันเบากว่า ที่เราเลือกแบบนั้นเพราะเราไม่อยากให้เสียงดังรบกวนสามีตอนเค้ายังนอนอยู่ เราเลือกสามี ราคาจึงไม่สำคัญอีกเช่นเคย
พอคิดได้ดังนั้น หันกลับมาดูเรื่องรางที่เกิดขึ้นอย่างแฟร์ๆ ก็เห็นความไม่เที่ยงว่า แม้โบว์เราจะสวย แต่แกะออกมารีดไม่ได้ เพราะ มันเป็นโบว์สำเร็จ ถ้าแพ็คใส่กล่องส่งให้ลูกค้า มันอาจจะถูกทับยับ และจะต้อง Steam ซึ่งมันยากที่จะทำให้กลับมาพองสวยเหมือนเดิม ลูกค้าหลายๆคนก็ไม่มี Steamer ด้วยซึ่งมันก็ลำบาก เพราะฉะนั้นโบว์แบบง่ายๆของเจ้านายที่ดึงถอดออกมารีดได้มันเหมาะสมมากว่า ซึ่งเค้าก็พูดหลายครั้งว่ามันง่ายสำหรับลูกค้า
*เป้าหมายของการทำโบว์อันนี้ไม่ไช่ต้องการแค่ความสวยที่สุด แต่ต้องการ “แค่สวยพอ” ใช้การได้ และดูแลรักษาง่าย (เอาออกมารีดได้ ไม่บี้ไม่แบน)
The goal is not just to be pretty.
The goal is to get it pretty enough and practical.
(*can be taken off to be pressed)
พอคิดได้ดังนั้นเลยถึงบางอ้อ ในใจมันก็เลยรับได้ว่าการเลือกอะไรที่ดีที่สุดในแต่ละสถานการณ์ มันมีปัจจัยหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าปัจจัยไหนสำคัญที่สุด ปัจจัยนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าอะไรดีที่สุดในสถาณการณ์นั้น เหมือนกับตอนเราเลือกเครื่องปั่น ความสามารถในการปั่นละเอียดและเสียงเบาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของเรา ทำให้เรายอมจ่ายแพงเพื่อซื้อเครื่องปั่นนี้ยี่ห้อนี้ แต่ถ้าสำหรับคนที่ไม่สนใจในสองอย่างนี้ เครื่องปั่นที่ดีที่สุดของเราก็จะไม่ใช่เครื่องปั่นที่ดีที่สุดของเค้า เหมือนกับโบว์ที่ดีทีสุดของเรา แม้สวยแต่เพราะดูแลรักษายาก มันจึงไม่เป็นโบว์ที่ดีที่สุดของเจ้านายและของลูกค้า
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ดีที่สุดในช่วงเวลานึง อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอและตลอดไป ในช่วงที่เราพิจารณาเรื่องโบว์นี้มันเป็นช่วงที่โบว์ยังฮิตอยู่ ตอนนี้ที่ร้านโบว์ไม่ค่อยฮิตเลย หลายๆครั้งชุดไหนที่มีโบว์ ลูกค้าหลายคนขอไม่เอา และแม้ในช่วงเทรนด์โบว์ไม่ฮิต หลายคนไม่ชอบ แต่บางคนก็ยังชอบอยู่ ความไม่เที่ยงมันมีอยู่เยอะมาก ตอนเจ้านายเลือกเอาโบว์ง่ายๆ ปัจจัยการเลือกของเค้าคือการดูแลรักษา (รีดได้) และเลือกแบบง่าย เพราะง่ายต่อส่วนรวม ถ้าเปลี่ยนสถาณการณ์เป็นลูกค้าคนเดียวที่เค้ามีความชอบและเงื่อนไขแตกต่างไป ปัจจัยในการเลือกก็อาจเหมือนหรือไม่เหมือนกับการเลือกเพื่อส่วนรวม มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของเค้าในตอนนั้นๆ เหมือนตอนที่เราออกแบบชุดแต่งงานตัวเอง ตอนนั้นเราเลือกทุกอย่างที่เราคิดว่าดีที่สุดสวยที่สุด พอหลังแต่งงานหลายปีผ่านไป ความชอบเราเปลี่ยน ถามว่าแบบนั้นสำหรับตอนนั้นดีที่สุดมั้ย ก็ตอบได้เต็มปากว่าดีจริง แต่ถ้าให้ใส่ตอนนี้ มันไม่ใช่ดีที่สุดแล้ว เพราะรูปร่างเราเปลี่ยนไป ความชอบเราเปลี่ยนไป เพราฉะนั้นเราต้องทำใจว่าสิ่งที่เราเลือกที่คิดว่าดีที่สุดในช่วงเวลานึง วันนึงมันก็อาจเปลี่ยนได้ ดังนั้นบางครั้งการต้องผจญกับความทุกข์แสนสาหัสเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดนั้นมามันอาจจะไม่คุ้ม เพราะวันนึงสิ่งที่ดีทีสุดนั้นก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดตลอดไป