ความอ่อนแอ

วันที่สามีกลับเมืองไทยเราก็เริ่มมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด แต่ที่แย่คือมีปัญหาเรื่องไซนัสอยู่แล้วโดยจะมีอาการปวดหัวมากทุกครั้งที่มีการอุดตันที่โพรงจมูก ปวดถึงขนาดว่าทานยาแก้ปวดก็ไม่ช่วยอะไร วันรุ่งขึ้นอาการยิ่งแย่ลงเพราะคืนที่ผ่านมาปวดหัวจนนอนไม่หลับ แต่ก็พยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นมาทำหน้าที่ วันนั้นเป็นวันหยุดเด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน ก็เป็นปกติที่เด็กๆอยู่บ้านเดี๋ยวก็เล่นกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน พอลูกเริ่มทะเลาะกันเราเองก็ป่วยปวดหัวแทบระเบิด ประกอบกับความเศร้าเพราะสามีเพิ่งจะกลับไป หน้าที่ก็ต้องทำ ไม่มีใครช่วย อยากพักก็ไม่ได้พัก รู้สึกอ่อนแอมาก ก็เลยทรุดลงนั่งร้องไห้ต่อหน้าลูกที่กำลังทะเลาะกัน ร้องไห้ไปก็บ่นไปว่าทนไม่ไหวแล้วอยากกลับบ้าน ทำไม่ไหวแล้ว เหนื่อยแล้ว ไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนี้แล้ว ทุกอย่างที่อยู่ในใจก็พร่างพรูออกมา

ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตุอะไร แต่พอสงบลงสังเกตุเห็นว่า ลูกทั้งสองคนมานั่งดูใกล้ๆและร้องไห้ไปด้วย เริ่มรู้สึกผิดว่านี่เราทำอะไรลงไป ทำไมไม่รู้จักอดทน ไม่ควบคุมตัวเอง เป็นแม่มาแสดงความอ่อนแอให้ลูกเห็นได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้ประหลาดใจ คนนึงไปเอาผ้าห่มมาห่มให้ มาถามว่าแม่จะเอาอะไรไม๊ คนนึงก็มานั่งปลอบว่าแม่หยุดร้องไห้ได้แล้วเดี๋ยวหายใจไม่ออก รู้สึกถึงความห่วงใยที่ลูกมีให้ จำได้ว่าลูกคนโตบอกว่า แม่ไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่ที่นี่แม่ก็มีเพื่อน แล้วเราก็ตอบไปว่า หมายถึงเพื่อนในบ้าน อยากให้ลูกเป็นเพื่อนแม่แต่ลูกก็ไม่ยอมเป็นเพื่อนกับแม่สักที

หลังจากนั้นเริ่มมีสติมากขึ้น ก็คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ไหนๆก็แสดงความอ่อนแอออกมาขนาดนี้แล้ว จะใช้ความอ่อนแอนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง ก็เลยคิดว่าวันนั้นจะไม่ทำอะไรให้ลูกแต่จะให้ลูกลองช่วยตัวเอง ช่วยเหลือกันในขณะที่เราป่วย ถือเป็นบททดสอบว่า สิ่งที่เราพยายามสอนให้ลูกทำมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาจะได้ผลบ้างหรือไม่ ตอนนั้นเป็นช่วงบ่าย ก็เหลือแค่เตรียมอาหารเย็น ซึ่งเราได้ซื้อไก่อบมาเตรียมไว้ในตู้เย็นแล้ว เลยบอกลูกว่าวันนี้แม่คงทำอะไรไม่ไหว ขอนอนพัก ให้เด็กๆทำอาหารเย็นกันเอง คือหุงข้าว อุ่นไก่ ย่างเห็ด ซึ่งเราคิดว่าลูกน่าจะทำเองได้ วันนั้นลูกก็ทำอาหารกันเองมีมาคำถามบ้าง เราก็คอยดูและคอยตรวจตราว่าปิดเตาต่างๆเรียบร้อยหรือไม่ ปรากฏว่าลูกทำได้ดีทีเดียว ทานเสร็จก็ล้างจาน ทิ้งขยะเรียบร้อย เราไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย วันนั้นเราจึงเข้านอนเร็วโดยให้ลูกดูแลกันเอง ก็ได้ยินพี่สาวคอยเตือนคอยถามน้องว่าทานผลไม้รึยัง ดื่มนมรึยัง นอกจากนั้นเราฝากให้น้องไปนอนกับพี่สาวเพราะกลัวลูกจะมาติดโรคจากเรา ซึ่งเค้าก็ดูแลกันได้ดี ถึงเวลาก็พากันไปเข้านอนเรียบร้อย

วันนี้ความไม่เที่ยงเกิดขึ้นตลอดเวลา สิ่งที่เราคิดว่าเราทำผิดพลาดไป จริงๆแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เรากลับรู้สึกว่ามันส่งผลดีด้วยซ้ำ รู้สึกว่าลูกเข้าใจเห็นอกเห็นใจเรามากขึ้น ลูกคนโตจะหมั่นขึ้นมาหาบ่อยๆ เวลาแม่อยู่คนเดียวมาคุยมาอยู่เป็นเพื่อน ก่อนนอนก็จะขึ้นมาหาให้กอด ได้เห็นว่าที่เราคิดว่าลูกจะดูแลตัวเองไม่ได้ ดูแลกันไม่ได้ จริงๆแล้วลูกทำได้ดีทีเดียว  แต่ที่ไม่ทำก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะยังไม่มีความจำเป็นจะต้องทำ เหตุการณ์นี้ทำให้เรานึกถึงตอนเราเป็นเด็ก แม่เคยมีปัญหากับพ่อแล้วก็นอนซมร้องไห้ซึ่งเราไม่เคยเห็นเพราะปกติแม่จะเข้มแข็งมาก ตอนนั้นเราต้องคอยปลอบคอยดูแลแม่ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเป็นที่พึ่งของแม่  รู้สึกเป็นคนสำคัญขึ้นมา รู้สึกว่าเข้าใจแม่มากขึ้น

มานึกย้อนดูอีกที ที่ผ่านมาเราเคยร้องไห้ให้ลูกเห็นแต่จะเป็นการร้องไห้เพราะโกรธเพราะเสียใจเพ่งโทษลูก ไม่เหมือนครั้งนี้ที่ร้องออกมาเพราะความอ่อนแอ เพราะรู้สึกว่ารับไม่ไหว แต่ไม่ได้โทษใคร ซึ่งมันอาจจะทำให้ลูกรับรู้ถึงความรู้สึกอ่อนแอของเรา ได้รู้ว่าแม่ก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เก่งกาจมากมายมาจากไหน มีเวลาป่วยมีเวลาที่อ่อนแอ ต้องพึ่งลูกต้องการความเห็นใจจากลูกเหมือนกัน  ทำให้เห็นว่า คนเป็นแม่ไม่จำเป็นต้องแกร่งและเก่งทุกเรื่องเสมอไป บางครั้งถ้าเราไม่ไหวจริงๆ การขอความช่วยเหลือจากลูกบ้าง ให้ลูกได้แสดงความสามารถได้รับผิดชอบบ้าง ก็เป็นการดีไม่น้อย

แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรจะแสดงความอ่อนแอออกมามากขนาดนี้อีก เพราะถ้ามีครั้งต่อไปมันจะกลายเป็นการแสดงให้ลูกเห็นว่าแม่ไม่สู้ แม่อ่อนแอ แม่เรียกร้องความเห็นใจ แม่ไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดได้ ซึ่งแทนที่ลูกจะเห็นใจอาจจะกลายเป็นรำคาญและพาลไม่นับถือแม่อีกเลยก็เป็นได้ ร้ายอาจไม่กลายเป็นดีแบบครั้งนี้ ต่อไปต้องระวังตัว มีสติให้มากกว่านี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *