ได้มีโอกาสไปดูลูกคนโตแข่งบาสเก็ตบอล โดยทีมของลูกเป็นทีมเยือนที่ไปแข่งที่โรงเรียนอื่น ดีใจและตื่นเต้นมาก ตอนนั่งดูก็ประทับใจว่าลูกทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสมานั่งดูลูกแข่งกีฬา เพราะลูกจะพูดเสมอว่าไม่อยากทำอะไร ไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบเล่นดนตรี ไม่ชอบศิลปะ อยากอยู่เฉยๆ เราเลยไม่คิดว่าจะได้มาดูบาสเก็ตบอลเกมของลูกแบบนี้ ในใจก็ทบทวนว่า เรามีวันนี้ได้อย่างไร
หลังจากได้ปฏิบัติมาสักระยะหนึ่ง จึงตั้งใจว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่จะเปลี่ยนแนวทางการเลี้ยงลูกใหม่ เพราะได้เห็น ทุกข์ โทษ ภัย ของการเลี้ยงลูกแบบเดิมของเราแล้วว่าร้ายแรงขนาดไหน ดังนั้นสิ่งแรกที่ตั้งใจทำคือพยายามให้ลูกได้เลือกว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร ได้รับผิดชอบตัวเองโดยที่เราไม่ไปจัดการทุกอย่างให้อย่างที่เคยทำมา เรื่องเรียนก็ปล่อยให้รับผิดชอบเอง เรื่องกิจกรรมต่างๆ ก็ไม่บังคับไม่แนะนำอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้จะเป็นการฝืนตัวเองอย่างมาก เพราะเราอยากให้ลูกเล่นกีฬา มีกิจกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจาก ดูทีวี เล่นโทรศัพท์ ดังนั้นเมื่อลูกคนเล็กมาขอเรียนไวโอลิน เรียนศิลปะ หลังเลิกเรียน เราก็สนับสนุนเต็มที่ แต่สำหรับคนโตนั้นไม่ร่วมกิจกรรมอะไรเลย เราก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ถามและไม่ได้แนะนำอะไร
จนมาถึง Quarter ที่ 2 ลูกคนโตมาบอกว่า เพื่อนชวนให้เข้าทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนแต่เค้าไม่อยากเล่น เราก็รับฟัง แอบดีใจอยากบอกให้ลูกเล่นแต่ก็ไม่พูดเพราะรู้ว่า หากเราพูดหรือแนะนำลูกจะรู้สึกทันทีว่านี่เป็นการตัดสินใจของแม่ไม่ใช่ของเค้า และจะต่อต้านเพราะรู้สึกว่าถูกแม่บังคับ เราจึงเงียบ ไม่ถาม ซึ่งทรมาณใจมาก อยากรู้ว่าลูกจะตัดสินใจอย่างไร แต่ก็เตรียมใจไว้ว่าลูกอาจจะไม่เล่น อยู่มาวันหนึ่งลูกก็มาบอกให้แม่ไป sign up เข้าทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนให้ และไปขอใบรับรองแพทย์ว่าเล่นกีฬาได้ส่งให้ทางโรงเรียน เราก็ตอบรับและรีบจัดการให้ทันที
ช่วงแรกๆที่มีการซ้อม ลูกก็ไม่ให้ไปรับในโรงยิม แต่ให้จอดรถรอด้านนอกเพราะไม่อยากให้แม่เข้าไปดู มีแข่งครั้งแรกก็ไม่ให้ไปดู เราก็เงียบไม่ว่าอะไร ลูกว่าอย่างไรก็ตามนั้น จนมาถึงการแข่งครั้งนี้ เราลองถามลูกว่าขอแม่ไปนั่งดูบ้างได้ไม๊ แม่ไม่เคยดูและไม่เคยเป็นนักกีฬาของโรงเรียนมาก่อน เลยอยากดูว่าเป็นอย่างไร ปรากฏว่าลูกให้เข้าไปดูได้ เราจึงได้มานั่งดูเช่นนี้ นอกจากนั้น ระหว่างนั่งดู เราก็ถ่ายคลิปวีดิโอไว้ ตั้งใจจะส่งให้พ่อและญาติๆดู แต่ก่อนจะส่งเราก็ถามลูกก่อนว่าให้ส่งได้หรือไม่และตั้งใจว่าถ้าลูกไม่ให้ส่งก็จะไม่ส่ง ซึ่งลูกก็ให้ส่งได้แต่ต้องให้เค้าเลือกเองว่าส่งคลิปไหนได้บ้าง
นี่คงเป็นผลมาจากการที่เราให้ลูกได้ตัดสินใจได้เต็มที่เพราะการเลือกที่จะทำกิจกรรมอะไรหรือไม่ มันเป็นสิทธิของลูก มันเป็นเรื่องของลูก ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ คลิปวีดีโอที่เราถ่ายมาก็คงถูกส่งออกไปให้เพื่อนๆของเราดูหรือโพสในเฟสบุค โดยที่ไม่ถามความเห็นลูกเลยด้วยซ้ำ เพราะเราเห็นผิดไปว่าเป็นเรื่องของเรา เราเป็นแม่ เป็นสิทธิของเรา แฝงด้วยการ take credit และต้องการคำชมจากผลงานของลูกอีกด้วย เมื่อเราแยกออกว่า นี่เป็นเรื่องของลูกไม่ใช่เรื่องของเราและแสดงให้ลูกเห็นว่า เราจะไม่เอามาเป็นเรื่องของเราเหมือนที่ผ่านมา ลูกจึงเริ่มเปิดใจและไว้ใจ เราจึงได้มีวันนี้
ตอนนี้คิดว่าคงมาถูกทางแล้ว ดังนั้นจะพยายามต่อไป จะเป็นแม่ที่ลูกไว้ใจต่อไป