ไม่ยอมรับผิด

ได้ดูข่าวที่มีกลุ่มวัยรุ่นมีเรื่องกับวิศวกร สุดท้ายวิศวกรใช้ปืนยิงโดยอ้างว่าป้องกันตัวแต่โดนเด็กวัยรุ่นเสียชีวิตไปคนหนึ่ง สิ่งที่รู้สึกสะดุดใจมากที่สุดคือสิ่งที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นให้ข้อมูลกับนักข่าวหรือไปออกรายการต่างๆ กับภาพเหตุการณ์ที่เห็นในคลิปจากกล้องในรถของวิศวกร มันต่างกันเป็นคนละเรื่องเราได้เห็นว่ากลุ่มเด็กวัยรุ่นเหล่านี้โกหกได้หน้าตาเฉยโดยเปลี่ยนเรื่องราวไปเป็นคนละเรื่อง ซึ่งถ้าไม่มีคลิปนี้ออกมาก็คงไม่มีใครจับได้ว่าเด็กเหล่านี้พูดไม่จริง มันทำให้เราอึ้ง ทึ่ง และกลัวไปพร้อมๆกัน ว่าเด็กสมัยนี้น่ากลัวจริง ไม่กลัวที่จะทำความผิด ทำผิดกลับไม่ยอมรับผิดแล้วยังพยายามโน้มน้าวคนอื่นให้เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันสมควรแล้ว แค่คิดว่าสังคมที่ลูกกำลังจะเติบโตมาเจอจะเต็มไปด้วยคนแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

แล้วก็เกิดคำถามขึ้นมากับตัวเองว่า แล้วลูกของเราหล่ะมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนแบบนี้หรือไม่ แล้วจะทำอย่างไรถึงจะป้องกันหรือแก้ไขได้ก่อนที่จะสายเกินไป จึงมานั่งพิจารณาถึงสาเหตุของการกลายเป็นคนไม่ยอมรับผิด ไม่กลัวที่จะทำความผิด และทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

คนที่จะไม่กลัวการทำความผิดก็คือคนที่ไม่กลัวผลหรือโทษของความผิดนั้น เพราะอาจจะไม่เคยได้รับผลของการทำความผิดเลย นึกถึงการเลี้ยงลูกของเราที่เคยทำให้ลูกทุกอย่าง ปกป้องจนมากเกินไป แนะนำไปซะทุกเรื่อง จนไม่เคยต้องทำอะไรเองไม่เคยต้องคิดอะไรเองด้วยซ้ำ เมื่อลูกทำผิดพลาด เราก็เข้าไปแก้ไขให้แทบจะทันที จนลูกแทบจะไม่รู้ว่าผลของการทำผิดพลาดนั้นคืออะไร เมื่อลูกทำผิดสิ่งที่เรามักจะทำคือสอนด้วยคำพูด ด้วยการดุการว่ากล่าวโวยวายเสียงดัง แต่การลงโทษจริงจังนั้นไม่เคยมี ลูกจึงไม่กลัวการถูกทำโทษ และไม่กลัวการทำความผิดเพราะไม่เคยต้องเจอกับผลของการทำผิดนั้นด้วยตัวเองเลย ความหวังดีและความห่วงใยของพ่อแม่ที่มากเกินไป มันกลับมาเป็นการทำร้ายลูกอย่างแสนสาหัสจริงๆ

การที่คนเราทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิดหล่ะเป็นเพราะอะไร เป็นไปได้ไม๊ว่าถึงจะยอมรับผิดก็ไม่มีใครให้อภัยมีแต่โดนซ้ำเติม การยอมรับผิดไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็เห็นว่าเราทำกับลูกบ่อยมาก เมื่อลูกยอมรับผิดเราไม่เคยแสดงความชื่นชมที่ลูกกล้ายอมรับผิด แต่เราจะซ้ำเติมทันทีโดยการดุ การตวาด การพูดจาทำร้ายจิตใจลูก คนที่ถูกดำเนินคดีหากยอมรับผิดศาลยังลดโทษให้ แต่เราไม่ลดโทษให้แถมยังซ้ำเติมอีก ก็ไม่แปลกที่ลูกจะเรียนรู้ในการป้องกันตัวเองด้วยการไม่ยอมรับผิด

ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลาที่แม่ทำความผิดหรือทำผิดต่อลูก แม่มักจะใช้ข้ออ้างของความเป็นแม่ในการเอาตัวรอดจากความผิด เช่นเมื่อเรากล่าวหาลูกว่าทำอะไรผิดโดยที่ลูกไม่ได้ทำ ซึ่งภายหลังมารู้ว่าลูกไม่ได้ทำจริงๆ เราก็มักจะโทษลูกไปอีกว่ามีพิรุธทำให้เราสงสัย หรือว่าลูกต่อไปอีกว่าชอบพูดไม่จริงเราเลยไม่เชื่อ โดยที่ไม่มีคำขอโทษที่ได้ทำผิดต่อลูกเลย นี่แหล่ะคือการแสดงตัวอย่างของการทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด นอกจากจะไม่ขอโทษแล้วยังเฉไฉไปเรื่องอื่นได้อย่างน่าตาเฉย แถมยังพยายามโน้มน้าวให้ลูกเห็นว่าลูกสมควรโดนดุแล้ว นี่เรากำลังสอนให้ลูกทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดไม่ต่างไปจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นเลย

น่าตกใจและน่ากลัวมาก เมื่อได้มานั่งคิดพิจารณาว่าการเลี้ยงลูกแบบเดิมๆของเรา อาจจะส่งผลต่อลูกอย่างไรในอนาคต นี่ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นให้เราได้เห็นตัวอย่างและนำมาคิดพิจารณาเช่นนี้ เราก็จะไม่รู้ตัวเลยว่าการเลี้ยงลูกแบบนั้น มันทำร้ายลูกได้มากมายขนาดไหน มันสื่ออะไร มันแสดงตัวอย่างอะไรบ้างให้ลูกเห็น ดังนั้นจะไม่กลับไปเลี้ยงลูกด้วยวิธีเดิมๆอีก จะนึกถึงความเป็นจริงให้มากๆ จะเลี้ยงลูกด้วยความจริง ให้ได้เรียนรู้ได้เห็นผลของการกระทำด้วยตัวเอง ให้ได้รับโทษเมื่อทำความผิด ให้กล้ายอมรับผิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *