ดูรายการเกมโชว์ที่ให้คนดังมาใส่หน้ากากร้องเพลงแข่งกัน คนที่แพ้จะต้องถอดหน้ากากให้รู้ว่าเป็นใคร วันนั้นคนที่ถอดหน้ากากออกมาเป็นอดีตนางงามที่ไม่มีใครรู้ว่าร้องเพลงได้ดีขนาดนี้และไม่มีใครทายถูกเลย พิธีกรถามว่าทำไมถึงตอบรับมาร่วมรายการเธอก็ตอบว่า เพราะตอนที่ได้ตำแหน่งนางงามและเป็นตัวแทนไปประกวดนางงามจักรวาลนั้น ตัวเองทำได้ไม่ดีไม่เหมือนรุ่นน้องรุ่นหลังๆที่ทำได้ดีมาก คนไทยก็เลยไม่ค่อยพอใจตัวเธอเท่าไหร่ พอได้มาแข่งร้องเพลงก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้เห็นว่าตัวเธอก็ทำได้ ฟังแล้วเราเกิดความรู้สึกว่า เธอคนนี้คิดไปเอง เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและเอาความคิดนั้นมาทำร้ายตัวเองทำไมเนี่ย แล้วก็อึ้ง… เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า นี่แหล่ะคือสิ่งที่เราเคยทำมาตลอดจนตัวเองต้องพบกับความทุกข์ที่ไม่จำเป็นต้องเจอตลอดเวลาที่ผ่านมา
ตั้งแต่เด็กก็คิดว่าแม่ไม่รัก คิดว่ารักน้องมากกว่า ทั้งๆที่แม่ต้องเสียสละมากมายเพื่อเรา พยายามเลี้ยงเราอย่างดีที่สุดให้สิ่งที่ดีที่สุดและไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่าไม่รัก แต่เราก็ยังคิดไปเองคิดน้อยใจเป็นตุเป็นตะจนเป็นปมอยู่ในใจและสุดท้ายก็เอาปมนั้นมาลงที่ลูก หรือตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเราสอบติดมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่สถาบันชื่อดัง เราก็คิดไปเองว่าถ้าเราบอกใครว่าจบจากที่ไหนเค้าจะต้องดูถูกเราแน่ๆ จึงไม่ค่อยอยากบอกใครว่าจบจากสถาบันไหน ทั้งๆที่สถาบันนี้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจากตอนเรียนมัธยมมากมาย เราได้ทำกิจกรรมได้มีโอกาสเป็นผู้นำ ได้เริ่มเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้น ซึ่งถ้าเราเรียนในสถาบันชื่อดังเราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างที่ผ่านมาก็ได้
เมื่อแต่งงานมีลูกต้องกลายเป็นคุณแม่เต็มเวลาไม่ได้ทำงานไม่มีรายได้อะไร ก็คิดไปเองอีกว่าคนอื่นจะมองว่าเราไม่มีความสามารถ จบถึงปริญญาโทแต่สุดท้ายก็มาเลี้ยงลูกอยู่บ้านเท่านั้น ทั้งๆที่ยังไม่เคยได้ยินใครพูดประโยคนี้ให้ได้ยินจริงๆสักครั้ง แม้กระทั่งสามีก็ยังเคยพูดว่างานเลี้ยงลูกเป็นงานหนักมากซึ่งสำหรับเค้าการทำงานนอกบ้านนั้นง่ายกว่า แต่หลายๆครั้งที่คุยกับสามีเราก็ยังคิดไปเองว่า สามีไม่เชื่อถือเราไม่ฟังความคิดความเห็นเราเพราะเราเป็นแค่แม่บ้านเท่านั้น และสิ่งที่เราคิดไปเองนี้ก็ทำให้เราพยายามที่จะควบคุมลูกให้ลูกอยู่ในกรอบที่เราวางไว้ เพื่อให้สามีและคนอื่นๆเห็นว่าเราเป็นแม่ที่ดีและมีความสามารถ
แม้แต่ในชีวิตประจำวัน เราก็คิดไปเองตลอดเวลา เช่นเวลาขับรถถ้ามีใครมาขับรถจี้ เราจะคิดว่าเค้าหมายถึงเราขับรถไม่เก่ง เราก็จะพยายามขับเร็วขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันก็ขับเร็วได้ หรือเวลาที่ต้องเลี้ยวซ้ายในแยกที่ไม่มีไฟแดง ถ้ามีคนมารอต่อจากเราเมื่อไหร่ เราจะร้อนรนทันทีเพราะกลัวคนข้างหลังจะว่าว่าเราขับรถไม่ดี มีจังหวะไปแต่ไม่ไป จนทำให้ตัดสินใจเลี้ยวออกมาโดยไม่รอให้รถว่างและปลอดภัยจริงๆอย่างที่ควรจะทำ อาการคิดไปเองของเราเนี่ย ช่างอันตรายจริงๆ
กับลูกเราก็คิดไปเองในทางไม่ดีกับตัวเองเสมอๆ เช่นเมื่อวานนี้ รีโมทคอนโทรลของทีวีมันเสีย ซึ่งรีโมทนี้สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ เราก็พูดใส่รีโมทเป็นภาษาอังกฤษแต่คำที่ขึ้นมาในทีวีมันไม่ใช่คำที่เราพูด ลูกก็หัวเราะขึ้นมา เราก็คิดไปเองว่าลูกหัวเราะเยาะภาษาอังกฤษของเรา เลยต่อว่าลูกว่าอย่าหัวเราะเยาะคนอื่น แม่ไม่ได้เรียนที่อเมริกาตั้งแต่เด็กเหมือนลูก ภาษาอังกฤษของแม่จะดีเท่าลูกได้อย่างไร แต่เมื่อสอบถามแล้วลูกบอกว่าไม่ได้หัวเราะแม่แต่หัวเราะคำที่มันขึ้นมาในทีวีต่างหาก นั่นคือลูกไม่ได้คิดในสิ่งที่เราคิดเลย แต่เรากลับต่อว่าลูกด้วยคำพูดที่แสดงถึงความคิดที่เราคิดไปเองจากปมในใจของเราเอง
ขอบคุณนางงามคนนั้น ที่ทำให้เราได้เห็นว่า เราเอาความคิดที่เราคิดไปเองมาทำร้ายตัวเองอย่างไรบ้าง ทำร้ายคนรอบข้างอย่างไรบ้าง ก่อให้เกิดอันตรายได้อย่างไรบ้าง ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าความทุกข์ส่วนใหญ่ที่เราพบเจอนั้นมันไม่น่าจะทำให้เราทุกข์ได้เลยหากเราไม่คิดไปเอง นี่เราทำร้ายตัวเองไปทำไมและเพื่ออะไรกัน ต่อไปนี้จะต้องมองให้เห็นความจริง ไม่คิดเอาเองสรุปเอาเองถ้าข้อมูลไม่เพียงพอ หากเกิดความรู้สึกไม่ดีจากการกระทำหรือคำพูดของใคร จะหยุดคิดพิจารณาถึงความจริงหรือไม่ก็สอบถามความจริงให้รู้แน่ชัดไปเลย ไม่คิดเองเออเองแล้วก็ทำร้ายตัวเองอย่างที่ผ่านมา