ดูรายการที่ให้คนมีชื่อเสียงมาร้องเพลงโดยใส่หน้ากากปิดบังตนเอง แล้วให้กรรมการทายจากน้ำเสียง บุคลิก และความสามารถว่าน่าจะเป็นใคร เมื่อเปิดหน้ากากออกมาก็ทำให้คนดูทึ่งได้เกือบทุกครั้งว่าคนๆนี้มีความสามารถขนาดนี้เชียวหรือ ดูๆไปแล้วการใส่หน้ากากของผู้ร่วมรายการนั้นเป็นการใส่เพื่อปิดบังอคติหรือข้อสรุปในใจของคนในสังคมที่ตัดสินจากรูปร่างหน้าตาหรืออดีตที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้แสดงให้สังคมเห็นว่าความสามารถที่แท้จริงของคนๆนั้นเป็นอย่างไร
นักร้องมากความสามารถคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมากตอนใส่หน้ากาก แต่เมื่อถอดหน้ากากกลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่ดีและอคติมาโจมตี แต่เพราะผู้ชมได้เห็นความสามารถของเค้าเลยทำให้ความนิยมในตัวเค้าเพิ่มขึ้นมากมาย ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ได้เค้าต้องทนอยู่กับกระแสข่าวโจมตีที่ทำให้คนมองข้ามความสามารถไปเป็นสิบปีจนทำให้คิดจะเลิกร้องเพลง เราเลยรู้สึกว่านี่มันไม่ยุติธรรม การที่สังคมตัดสินคนๆหนึ่งโดยที่ไม่รู้จักไม่มีข้อมูลเพียงพอ มันทำร้ายเค้าได้ขนาดนี้เชียวหรือ
แล้วเราหล่ะชื่นชอบคนที่ใส่หน้ากากรึเปล่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราก็ชอบคนที่หน้าตาสวยหล่อ แต่งตัวดี พูดจาไพเราะ เราจะชื่นชมก่อนที่เราจะรู้ซะอีกว่าตัวตนที่แท้จริงของคนนั้นเป็นอย่างไร หน้ากากที่เรียกว่าฐานะ หน้ากากทางสังคม หน้ากากทางวัตถุ แม้กระทั่งหน้ากากของเชื้อชาติ มีผลกับความรู้สึกของเราทั้งนั้น คนที่ซอมซ่อดูไม่ค่อยมีเงิน เราก็ตัดสินไปแล้วว่าอาจจะเป็นขโมยหรือคนร้าย ไปส่งลูกที่โรงเรียนเห็นคนที่มาส่งเด็กแต่งตัวธรรมดาก็ตัดสินไปว่าเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เห็นคนที่ใช้ของแพงๆ ของแบรนด์เนมก็คิดไปแล้วว่าต้องเป็นคนฐานะดี เวลาทำงานกับชาวต่างชาติที่เป็นคนขาวก็คิดไปแล้วว่าต้องเก่งกว่าคนไทย แต่ถ้าเจอชาวต่างชาติผิวดำหรือแม็กซิกันก็จะรู้สึกว่าน่ากลัวต้องอยู่ห่างๆ นี่เราเองก็ด่วนสรุปตัดสินคนจากหน้ากากที่เค้าสวมใส่อยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านหน้ากากนั้นๆได้เลย
ตัวเราเองก็มักจะใส่หน้ากากเช่นกัน เช่น ช่วงนี้เกิดความรู้สึกอยากได้บ้านหลังใหญ่กว่าที่อาศัยอยู่ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะพ่อแม่เราและแม่กับน้องชายสามีกำลังจะมาเยี่ยม เราจึงต้องการใช้บ้านที่หลังใหญ่ขึ้นสวยขึ้นมาเป็นหน้ากากเพื่อให้คนที่มาเยี่ยมชื่นชมทั้งๆที่จุดประสงค์ในการมาเยี่ยมจริงๆแล้วน่าจะมาเพื่อพบเรากับลูกด้วยความคิดถึงมากกว่าจะมาดูว่าบ้านเราใหญ่หรือสวยแค่ไหน ตอนอยู่เมืองไทยก็มักจะอยากได้ของแบรนด์เนม เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือแม้แต่ ของมีค่าเช่น เพชร พลอย เครื่องประดับต่างๆ เวลาไปส่งลูกที่โรงเรียนก็ต้องแต่งตัวแต่งหน้าเต็มที่เพื่อใส่หน้ากากให้คนชื่นชมทั้งๆที่เราเป็นคนไม่ชอบแต่งหน้า นี่เพราะเราชอบตัดสินคนอื่นจากหน้ากาก เราจึงพยายามที่จะหาหน้ากากมาใส่เพราะกลัวที่จะโดนคนอื่นตัดสินบ้าง
จริงๆแล้วเรากล้าหรือไม่ที่จะถอดหน้ากาก แสดงตัวตนที่แท้จริงโดยยอมรับความจริงเหมือนที่นักร้องคนนั้นทำ เราจะทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้แค่ไหน เอาง่ายๆแค่เราไม่แต่งหน้า ไม่ปกปิดริ้วรอยหรือถุงใต้ตา เผยผิวหน้าที่แท้จริง ไม่ทำสีผมเพื่อเปิดเผยผมขาวที่เกิดขึ้นตามวัย เลิกใช้ของแบรนด์เนมที่บางชิ้นจริงๆแล้วไม่ได้ชอบแต่ต้องมีเพื่อเป็นหน้ากากทางสังคม ใช้ของเรียบง่ายและใช้เท่าที่จำเป็น ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ ตามความจำเป็น เป็นตัวของตัวเองไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาวิจารณ์ เราจะทำได้หรือไม่ แล้วก็พบว่านั่นคือสิ่งที่เราเป็นและกำลังทำอยู่เมื่อเราอยู่ที่นี่แต่ถ้ากลับไปเมืองไทยเราคงทำไม่ได้ นั่นคือเราจะถอดหน้ากากออกได้เมื่อไม่ได้อยู่ในสังคมแต่ถ้าต้องพบเจอผู้คนเมื่อไหร่เราจะต้องหาหน้ากากมาใส่ทันที
แล้วอย่างนี้ใครผิดสังคมผิดหรือ คนที่ต้องอยู่ในสังคมแต่ไม่สวมหน้ากากก็มีให้เห็น เช่นสามีเรา พ่อแม่เรา นอกจากนั้นใครจะคิดอย่างไรวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรจริงๆแล้วมันอยู่เหนือการควบคุมของเรา และถึงเราใส่หน้ากากก็ใช่ว่าทุกคนจะชื่นชม เมื่อมานั่งพิจารณาก็เห็นว่าหน้ากากที่เราสรรหามาใส่ทั้งหมดนั้นเกิดจากการคิดไปเองของเราทั้งนั้น คิดไปเองทำร้ายตัวเองแล้วสุดท้ายก็ไปเสาะแสวงหาสารพัดหน้ากากมาใส่เพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้ายโดยความคิดของตัวเอง อะไรกัน!!! นี่เรากำลังทำอะไรอยู่!!!
ที่จริงแล้วไม่มีใครทำอะไรเราเลย มีแต่ตัวเราทำตัวเองทั้งนั้น เราไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากเหล่านั้นเลยเพียงแค่เราเลิกคิดไปเอง เลิกทำร้ายตัวเองด้วยความคิดของตัวเอง รวมทั้งเลิกด่วนสรุปตัดสินคนจากหน้ากากที่เค้าสวมใส่ ต่อไปจะพยายามเตือนตัวเอง พยายามจับความคิดตัวเอง พยายามมองความเป็นจริงพิจารณาความไม่เที่ยงให้มากเพื่อจะได้ถอดหน้ากากที่เรานำมาใส่ตัวเองออกไป