บ้านของเรา

ช่วงสงกรานต์ทางครอบครัวคือ พ่อ แม่ น้องสาว น้องเขย และหลานชายอายุ 2 ขวบมาเยี่ยมจากเมืองไทยเป็นเวลา 10 วัน เราได้ทำความสะอาดบ้านจัดเตรียมบ้านและซื้ออาหารมาเตรียมต้อนรับ ซึ่งในช่วงเวลาที่ครอบครัวมาเยี่ยมนี้เองเป็นช่วงที่เราได้พิจารณาในเรื่องตนและของของตนและความไม่เที่ยงโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องบ้านได้เยอะมาก รวมทั้งได้สังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในการรับมือกับความไม่เที่ยงรวมถึงตนและของของตนชัดขึ้นด้วย

ความไม่เที่ยงเกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น เราจัดเตรียมห้องนอน ที่นอน หมอน ผ้าห่มไว้ให้ จัดห้องให้เป็นสัดเป็นส่วน แต่ถึงเวลาจริงๆ หลานตื่นกลางดึกก็ต้องมากล่อมนอนกันที่ห้องรับแขกเกือบทุกคืน วางแผนไว้ว่าจะพาไปเที่ยวตั้งหลายที่ แต่จริงๆแล้วแทบไม่ได้ไปไหนเพราะอากาศเย็นและหลานชายป่วยเป็นหวัด ที่ที่คิดว่าพาไปแล้วจะชอบกลับไม่ชอบแต่ที่ที่ไม่คิดว่าจะชอบก็ชอบกันอยากจะไปกันอีก เราเป็นห่วงคุณแม่ว่าจะเหนื่อยจากการเดินทางเพราะท่านไม่สบายแต่แม่กลับเป็นคนที่สบายที่สุด กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีอาการป่วยหรืออ่อนเพลียใดๆ ไม่มีอะไรเที่ยงเลยจริงๆ

เราได้เห็นหลักฐานมากมายที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “นี่ไง บ้านนี้มันไม่ใช่ของเรา” เราควบคุมอะไรไม่ได้เลย เช่น ของตกแต่งบ้านที่เราสรรหามาวางตามตำแหน่งต่างๆเพื่อความสวยงามต้องถูกโยกย้ายไปเพื่อให้มีที่รองรับของใช้ของทุกคน โดยเฉพาะของใช้ของเด็กซึ่งมีจำนวนมาก เคาว์เตอร์ที่เคยโล่งว่างก็เต็มไปด้วยสิ่งของวางระเกะระกะ ดอกไม้ประดับที่วางไว้กลางโต๊ะอาหารก็ถูกย้ายไป เก้าอี้สำหรับนั่งทำงานของลูกๆ ก็ถูกย้ายมาไว้ที่โต๊ะอาหารเพื่อให้มีที่เพียงพอกับการนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน สภาพทั่วไปของบ้านตอนนั้นจะรกกว่าในช่วงเวลาปกติ

วันนึงเราขึ้นไปเอาของในห้องนอนใหญ่ที่เป็นห้องนอนของเราแต่เราจัดไว้ให้ทางครอบครัวพัก โดยเราไปนอนกับลูกที่ห้องนอนเล็กแทน ปรากฏว่าเข้าไม่ได้เพราะประตูล็อค ความรู้สึกที่กระแทกใจอย่างจังคือ อะไรกันนี่… ห้องที่เคยเป็นของเราแต่ตอนนี้เรากลับเข้าไม่ได้ เสื้อผ้าที่เคยเป็นของเราเราก็ไม่สามารถเข้าไปหยิบได้ มันแสดงให้เห็นเลยว่า เพียงเราแค่ออกจากห้อง ห้องนั้นก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ซึ่งจริงๆแล้วความรู้สึกว่าห้องนี้ไม่ใช่ของเรามันเริ่มเกิดตั้งแต่วันแรกที่เค้าเข้ามาพัก เราเกิดความรู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันทีไม่กล้าที่จะขึ้นมาหยิบของโดยแต่ละวันจะพยายามขึ้นมารอบเดียวและรีบลงไป รู้สึกเหมือนกับว่าห้องนี้ไม่เคยเป็นห้องของเรามาก่อน

ตอนไปรับลูกที่โรงเรียน ขณะขับรถออกจากโรงรถก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เมื่อเราก้าวเท้าออกไปบ้านนี้ก็จะไม่ใช่บ้านของเราแล้วนะ เราไม่สามารถรู้เลยว่าคนที่อยู่ในบ้านกำลังทำอะไร ทำอย่างไร จะเกิดอะไร ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมของเราทั้งสิ้น หันกลับไปมองบ้านด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังดูบ้านคนอื่น ถึงเราจะรู้ว่าภายในบ้านมีลักษณะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่รู้เลยว่า ภายในบ้านที่ประตูปิดอยู่นั้น คนในบ้านทำอะไร อยู่ตรงไหนของบ้านบ้าง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่าสิ่งที่เราเคยกำหนดไว้ก็ไม่เป็นตามที่เรากำหนด ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าว การล้างจาน การเก็บของในตู้เย็น การทำความสะอาด ทุกอย่างเป็นไปตามที่คนที่อยู่ในบ้านในเวลานั้นๆเป็นผู้กำหนด

มาสังเกตุตัวเองในเรื่องความไม่เที่ยงว่าจากตัวอย่างที่เราเห็นเรารับมืออย่างไรกับความไม่เที่ยงนั้นๆ แผนการเที่ยวต่างๆที่เราวางไว้เราก็ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตามความต้องการของทางครอบครัวด้วยความเข้าใจ เมนูอาหารก็ปรับเปลี่ยนตามที่เค้าต้องการ มีความยืดหยุ่นในหลายๆเรื่อง ดังนั้นความทุกข์ใจจากการที่สิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้ก็ไม่เกิดขึ้นเพราะเราเข้าใจว่าแผนการของเรามันไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ เวลานั้น และที่สำคัญคือเราไม่ดึงทุกเรื่องเข้าหาตัวเองและมาทำร้ายตัวเองเหมือนที่เคยทำ

ความรู้สึกว่าบ้านนี้ไม่ใช่ของเรา มันช่วยทำให้เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเหนือความควบคุมของเราอย่างสงบขึ้น เหมือนเราอยู่ข้างนอกยืนมองความเป็นไปในบ้านคนอื่น ทำให้ใจเราจดจ่อกับบ้านน้อยลง เมื่อน้องสาวมาบอกว่าเมื่อคืนนี้หลานชายอาเจียรใส่พรมนะแต่เช็ดให้แล้ว สิ่งแรกที่คิดคือ หลานไม่สบายมากไม๊เป็นอะไรรึเปล่า ต้องพาไปหาหมอไม๊ น้องสาวบอกว่าไม่เป็นไรแต่พรมอาจจะมีกลิ่นนะ ซึ่งเราไม่ได้สนใจเรื่องพรมเลยและไม่ได้ไปค้นหาว่ามันเลอะตรงไหนด้วยซ้ำ ความรู้สึกที่มีต่อบ้านนี้เริ่มเปลี่ยนไปจริงๆ เรื่องความสะอาดก็ยังคงรักษาความสะอาดเหมือนเดิมแต่เราได้เข้าใจแล้วว่า บ้านไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าความรู้สึกของคนที่อยู่ในบ้าน ทำให้การมาเยี่ยมของครอบครัวในครั้งนี้จบลงด้วยความรู้สึกที่ดีของทุกฝ่าย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *