ดูละครเรื่องหนึ่งที่เคยดูแต่ไม่ได้ติดตามเพราะไม่ค่อยชอบเนื้อหาของเรื่องที่ค่อนข้างล่อแหลม พอเห็นว่าละครเรื่องนี้จบไปแล้วเลยมาเปิดดูตอนจบของเรื่อง ซึ่งกลับทำให้ประหลาดใจมากเพราะมีบทสรุปของเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว ประทับใจที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดว่า “เราไม่สามารถช่วยใครให้ออกจากป่าของความหลงได้ เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นจากตัวเองจึงต้องหยุดมันด้วยตัวเอง ดังนั้นเราจึงช่วยใครไม่ได้ถ้าหากคนๆนั้นไม่เดินออกจากป่าด้วยตัวของเค้าเอง”
นั่นสินะ นึกย้อนมาถึงตัวเรา ทุกครั้งที่เราเกิดความรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ได้มีใครมาบังคับให้เรารู้สึกแบบนั้นมีแต่เราที่รู้สึกของเราไปเอง เวลาที่เราจะรักใครหรืออะไรก็เพราะเรากำหนดเงื่อนไขไว้ในใจของเราเองว่าแบบนี้ดีแบบนี้น่ารัก เมื่อถูกใจตรงกับเงื่อนไขของเราเราจึงรัก เรารักสามีเพราะถูกใจรูปร่างหน้าตาก่อนจากนั้นจึงมารักที่นิสัยใจคอที่ตรงกับเงื่อนไขที่เราวางไว้ และเราจะรักเมื่อเราเข้าใจว่าคนนั้นหรือสิ่งนั้นเป็นของเรา เรารักลูกรักครอบครัวของเรา เรารักทรัพย์สมบัติของเรา เรารักสัตว์เลี้ยงของเรา ซึ่งไม่มีเลยซักครั้งที่จะมีใครมาบอกหรือบังคับให้รัก เรารักของเราเองทั้งนั้น
เวลาที่เกิดความโลภอยากได้อะไรก็ตาม มักจะเกิดจากการคิดไปเองของเราว่าถ้าเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วเราจะได้ประโยชน์อย่างไร คนจะมองเราดีขึ้นอย่างไร เกิดจากความอยากได้รับคำชม อยากได้การยอมรับนับถือ อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราดี ความอยากเหล่านี้ก็ไปกระตุ้นความอยากทางวัตถุทำให้อยากมีอยากได้ ซึ่งจริงๆก็ไม่มีใครมาบอกมาสอนว่าคนที่มีมากกว่าคนอื่นจะได้รับความยกย่องหรือจะถูกมองว่าดีกว่าคนอื่น เราเป็นคนคิดไปเองแล้วก็คิดว่าคนอื่นต้องคิดเหมือนเรา จากนั้นก็เอาความคิดนั้นมาเป็นตัวบงการให้เกิดความอยากที่ไม่จำเป็นต่างๆนาๆ
เวลาที่เราโกรธก็เพราะเกิดอะไรที่ไม่ถูกใจเราที่เราไม่ชอบ ไม่ตรงกับเงื่อนไขที่เราตั้งไว้หรือไม่เป็นไปตามที่เราคิดไว้ เกิดจากการปักเที่ยงและความคาดหวังในเรื่องต่างๆโดยไม่คิดถึงความเป็นจริงและไม่เตรียมใจรับความเป็นไปได้อื่น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือเวลาโกรธลูกมักจะเกิดจากการที่ลูก พูด คิด หรือทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับที่เราคิดไว้ว่าดีแทบทุกครั้ง เช่นพูดไม่เพราะ ทำกิริยาไม่ดี ไม่ทำในสิ่งที่เราบอกให้ทำ เวลาโกรธสามีก็เพราะสามีพูดไม่เข้าหู พูดสิ่งที่เราไม่ชอบ โกรธแมวที่มันข่วนเราเพราะเราคิดว่ามันไม่ควรทำ นี่ไงความโกรธทั้งหลายที่เคยเจอก็ล้วนแต่เกิดจากตัวเราทั้งนั้น
เราหลงเพราะเราเห็นผิด เราไม่รู้ หรือเรามองไม่เห็นความจริง เหมือนเวลาเราหลงทางก็เพราะเราไม่รู้จักทางและไม่ศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนออกเดินทาง เราจะเลิกหลงทางได้ก็ต่อเมื่อเราหยุดเพื่อถามทาง หยุดเพื่อศึกษาเส้นทางหรือดูแผนที่ให้เข้าใจ แต่ส่วนใหญ่เราจะไม่หยุดเพราะไม่รู้ตัวว่าเรากำลังหลงทางยิ่งถ้าทางที่หลงไปนั้นเต็มไปด้วยความสวยงาม เรามักจะปล่อยให้ตัวเองหลงทางไปเรื่อยๆ ความหลงนี่เกิดมาจากความเห็นผิดของตัวเราเองล้วนๆ และยังก่อให้เกิด รัก โลภ โกรธ อีกด้วย เช่น เมื่อมีคนมาทำดีกับเราพอเราเห็นว่าดีเราก็หลงรัก เมื่อเราเห็นว่าสิ่งใดน่าครอบครองโดยไม่คิดถึงความจำเป็นหรือความพอดีเราก็อยากได้ เมื่อมีใครทำอะไรที่เราเห็นว่าไม่ดีโดยที่เราไม่ได้มองความเป็นจริงหรือสาเหตุที่แท้จริงแต่กลับคิดเข้าข้างตัวเองเราจึงโกรธ
ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่า ไม่มีใครสามารถช่วยใครให้ออกจากป่าแห่งความหลงได้จริงๆ รู้สึกนับถือคนเขียนบทละครที่เขียนบทได้ดีขนาดนี้ แล้วก็ตกใจว่าตัวเรานี่ช่างสรรหาอะไรเข้ามาใส่ตัวเองเพื่อให้ตัวเองเป็นทุกข์ได้ตลอดเวลา ไม่รู้จะทำร้ายตัวเองไปทำไม อยู่ดีๆก็สร้างความเห็นผิดเพื่อให้ตัวเองหลง สร้างเงื่อนไขต่างๆขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองไปรักหรือโกรธคนอื่น สร้างความอยากมีอยากได้ในสิ่งที่ไม่ได้มีความจำเป็น และเห็นแล้วเราต้องออกจากป่านี้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองกำลังหลงทางอยู่และพอจะรู้ว่าหลงเข้ามาได้อย่างไร ทั้งยังโชคดีที่มีครูบาอาจารย์ชี้แนะทางออกและมอบแผนที่ให้ ดังนั้นจะพยายามศึกษาแผนที่ให้เข้าใจเพื่อจะได้เดินไปในทางที่ถูกที่ควรต่อไป