Family Boarding

ขึ้นเครื่องกลับ Denver ด้วยสายการบินที่ไม่ระบุที่นั่ง แต่ใช้วิธีขึ้นเครื่องตามลำดับที่ check in ซึ่งเราได้ขึ้นเครื่องกลุ่ม B ต้องรอให้กลุ่ม A ประมาณ 60 คนขึ้นเครื่องให้เรียบร้อยก่อน ก่อนหน้านี้ลูกยังเล็กเรามักจะใช้สิทธิ์ในการเดินทางกับเด็กเพื่อขึ้นเครื่องก่อน แต่มาระยะหลังลูกเริ่มโตทางสายการบินก็จะไม่ให้สิทธิ์ดังกล่าวแล้ว เราก็ยืนรอตามคิวอยู่ แต่ปรากฏว่าพนักงานสายการบินซึ่งเป็นผู้หญิงผิวดำร่างท้วม พูดจาโผงผางเสียงดัง กลับเรียกเราให้ไปขึ้นเครื่องก่อน แล้วบอกเราว่า เค้าอยากให้เราได้ที่นั่งติดกับลูกไม่อยากให้แยกกันก็เลยให้ขึ้นก่อน รู้สึกประทับใจในความใส่ใจซึ่งต่างกับสิ่งที่เราคิดว่าเค้าจะเป็น

เมื่อมาถึง Denver ก็เรียก Uber เพื่อกลับบ้าน ซึ่งรูปคนขับที่ส่งมาให้ดูนั้นน่าจะเป็นคนอายุมาก ในใจคิดว่าจะยกเลิกและเรียกใหม่เพราะไม่แน่ใจในสภาพรถและคนขับ แต่ก็ไม่ได้ยกเลิกเพราะคิดว่าหากรถมาถึงแล้วเราไม่พอใจค่อยยกเลิกก็ได้ ปรากฏว่าถึงแม้คนที่มารับจะหน้าตาเหมือนในรูปที่ส่งมา แต่ใส่สูทเต็มยศขับรถ Cadillac ใหม่เอี่ยมยังเป็นทะเบียนชั่วคราว รถสะอาดและกลิ่นหอมมาก เปิดเพลงคลาสสิคเบาๆ คลอไปตลอดทาง ขับรถดีมีสมาธิไม่เร็วเกินหรือช้าเกินไป กลายเป็นการนั่ง Uber ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยนั่ง สิ่งที่เห็นและคิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงอีกแล้ว

ทำให้ได้เห็นว่า เราเป็นคนที่มีนิสัยตัดสินอะไรจากข้อมูลที่ไม่เพียงพอและบรรทัดฐานส่วนตัว เช่นในกรณีพนักงานสายการบิน ที่เป็นคนดำพูดจาเสียงดัง เราก็ตัดสินเค้าจากที่เราเห็นว่าคงเป็นคนที่จิตใจแคบ เจ้าอารมณ์ ก้าวร้าว โผงผาง ทำงานตามหน้าที่ไปวันๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับผู้โดยสารมากนัก หรือเมื่อได้เห็นรูปคนขับ Uber ซึ่งหน้าตาคล้าย Robert Einstein เราก็ตัดสินไปแล้วว่าคนที่ไว้หนวดและทำผมทรงนี้คงจะไม่ปกติ น่าจะเพี้ยน อายุก็มาก รถก็คงเก่าๆ โทรมๆ ขับรถเก้ๆกังๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง นี่เราตัดสินอะไรจากอคติจนคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงขนาดนั้นเลยหรือนี่

ตอนที่มีนัดไปพบครูประจำชั้นของลูก ซึ่งเมื่อไปที่ห้องเรียนก็เจอกับห้องเรียนที่ดูสบายๆ มี Sofa มี bean bag มีเบาะสำหรับนั่งพื้นวางกระจายอยู่รอบๆ ซึ่งลูกบอกว่าเวลาเรียน เด็กๆสามารถนั่งตรงไหนก็ได้ที่อยากจะนั่ง จะทำงานตรงไหนก็ได้ ตรงกันข้ามกับห้องเรียนที่เราคิดไว้อย่างสิ้นเชิง พอไปนั่งคุยกับครูที่โต๊ะทำงานที่รกมากต่างจากที่เราคิดไว้ว่าครูจะต้องเป็นคนมีระเบียบทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อครูคนนี้เริ่มเอนไปทางลบ แต่พอได้คุยกันก็พบว่ามีมุมมองหลายๆอย่างที่ดี เอาใจใส่และเข้าใจลูกเราดีทีเดียว เราบอกว่าอยากให้ลูกมีระเบียบมากขึ้น ครูก็บอกว่าตัวเค้าเองก็ไม่มีระเบียบและเป็นสิ่งที่กำลังปรับปรุง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนเราย่อมมีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่เมื่อรู้ว่าตนเองมีข้อเสียอะไรก็ควรพยายามปรับปรุง

นั่นสินะ จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเรามีข้อเสียเรื่องการด่วนตัดสินและการตั้งบรรทัดฐานจากความอคติ ทำให้มองอะไรผิดไปจากความจริง ดังนั้นนี่คือสิ่งที่เราควรจะปรับปรุงแก้ไข โดยต้องไม่คิดไปเองก่อนและพิจารณาความไม่เที่ยงในทุกๆเรื่อง ทั้งทางด้านดีและไม่ดี ในเรื่องข้างต้นบังเอิญว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไม่ดีเราควรคิดเผื่อไว้ว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไร เช่น หากพนักงานสายการบินเป็นคนก้าวร้าวจริงๆ เราควรทำอย่างไร หรือหากสภาพรถและคนขับ Uber ดูแล้วไม่น่าปลอดภัยจริงๆ เราจะทำอย่างไร โดยที่ไม่ใช้ความรู้สึกตัดสินไปก่อนที่จะได้เห็นความจริง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *