วันนี้ลูกสาวคนโตไม่ค่อยสบายขอหยุดโรงเรียนซึ่งเค้าบอกว่าเมื่อวานนี้ไปโรงเรียนแล้วไอจนทำอะไรไม่ค่อยได้ซึ่งเราก็ให้เค้าตัดสินใจเองว่าจะหยุดหรือไม่ เราก็ดูแลทำอาหารอ่อนๆให้ทาน หายา หาน้ำเกลือให้ล้างจมูก แล้วก็เตรียมตัวไปส่งลูกคนเล็ก พอกลับมาก็มานั่งทานข้าวเช้าพร้อมกับดูละครจากโทรศัพท์ไปด้วยเหมือนที่เคยทำทุกวัน ลูกเดินออกมาเห็นแล้วพูดว่า เวลาเค้าไปโรงเรียนแล้วแม่อยู่บ้านก็เป็นอย่างนี้สินะ ดูแต่ละครไม่ทำอะไรเลย เท่านั้นเอง… โกรธมากจนตะคอกออกไปว่า อยากรู้ใช่ไม๊ว่าไม่ทำอะไรเลยเป็นยังไงแม่จะทำให้ดู!!!
ตอนนั้นลูกหน้าตาตื่น ตกใจว่าทำไมแม่โกรธ พยายามมาอธิบายว่าเค้าพูดเล่น ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ แม่เข้าใจผิดไปเอง แต่ยิ่งพูดยิ่งทำให้เราโกรธมากขึ้น ว่าแม่ว่าไม่ทำอะไรเลยแล้วยังมาบอกว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้นแม่คิดไปเอง ตัวเองไม่เคยผิดเลยซินะ ขอโทษสักคำก็ไม่มี โกรธมากคิดในใจว่าคอยดูนะเราจะทำให้เห็นว่าถ้าหากเราไม่ทำอะไรเลยแบบที่ลูกพูด จะเป็นยังไง จากนั้นเราก็พยายามเงียบ บังเอิญว่าต้องออกไปซื้อกับข้าวเพราะพรุ่งนี้จะมีญาติมาค้างเราก็เลยออกไปซื้อของ
ระหว่างขับรถก็นั่งทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ลูกพยายามอธิบายว่าเค้าพูดเล่นน่าจะเป็นเรื่องจริงซึ่งเราเองก็รู้ว่าลูกพูดเล่น แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวทำไมเราถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น นึกถึงเวลาที่เคยโดนนินทาเช่นตอนทำงานให้โรงเรียนโดนหาว่าเป็นคนสองหน้าต่อหน้าคนอื่นทำเป็นคนดีแต่ลับหลังก็ร้ายกาจ ตอนนั้นไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โกรธมากมายขนาดนี้เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่โดนกล่าวหา ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้ที่เราโกรธมากก็แสดงว่าเราเองก็คิดว่าเราเป็นแบบที่ลูกพูด แล้วสิ่งที่ลูกพูดนั้นมันมาจี้จุดอ่อนของเราพอดี
ตั้งแต่มาเป็นคุณแม่เต็มเวลาและมีหน้าที่ดูแลลูกอย่างเดียว ปมใหญ่ที่เกิดในใจเราก็คือกลัวไม่มีใครเห็นความสามารถ กลัวไม่ได้รับการยอมรับ กลัวไม่ได้รับคำชื่นชมที่เรามักจะพยายามทำเพื่อให้ได้รับตลอดมาไม่ว่าจากการเรียนหรือการทำงาน เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราไม่ประสบความสำเร็จในด้านหน้าที่การงานเหมือนคนอื่น ดังนั้นเราจึงพยายามอย่างมากในการดูแลลูกให้เป็นอย่างที่เราหรือที่สังคมเห็นว่าดี เพื่อให้ได้มาซึ่งคำชื่นชมว่าเป็นแม่ที่ดีโดยกลับกลายเป็นการทำร้ายลูกและทำให้เราเกือบจะเสียลูกไป
นี่แสดงว่าปมในใจเราในเรื่องการเป็นแม่เต็มเวลา เป็นแม่บ้านไม่มีรายได้ ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยถึงแม้ว่าเราจะได้พบแล้วว่าปัญหาใหญ่ของเราคือความต้องการคำชมและพยายามแก้ไขมาโดยตลอด เหมือนว่าปมนี้อยู่ลึกลงไปในใจอีกชั้นหนึ่งซึ่งเป็นชั้นที่เรายังเข้าไปไม่ถึงและยังไม่ได้รับการแก้ไข ที่ผ่านมาเราแก้ไขในจุดที่เห็นได้ชัดเจน เช่นการขับรถเร็วเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าขับรถเก่ง หรือ การเปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูกโดยนึกถึงความต้องการของลูกมากขึ้น แต่ความน้อยใจและความเห็นผิดที่ว่าความสามารถและความสำเร็จของคนนั้นอยู่ที่หน้าที่การงานและรายได้ ยังไม่ได้รับการแก้ไขใดๆ
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือคิดพิจารณาในเรื่องนี้ ให้เห็นความจริงว่าเราเห็นผิดอย่างไร ความสำเร็จและจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเราคืออะไร ทุกวันนี้เราได้ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมายนั้นเต็มที่หรือยัง ถ้ายังก็ควรจะทำให้เต็มที่กว่านี้ จะประเมินตัวเองเทียบกับจุดเริ่มต้นว่าเราได้พัฒนามามากน้อยเพียงใดและให้เครดิตตัวเองในการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นที่ผ่านมา แก้ไขจุดอ่อนที่ทำให้เราคิดว่าเราเป็นคนไม่มีความสามารถ เพื่อไม่ให้มีใครมาจี้จุดอ่อนให้เราต้องทุกข์ได้อีก
นอกจากนี้จะนำเรื่องนี้มาเป็นบทเรียนในการสอนลูกเรื่องการพูดโดยไม่คิด ว่าสิ่งที่เราพูดออกไปโดยไม่ตั้งใจบางครั้งมันอาจจะไปกระทบจิตใจและไปจี้จุดของใครเข้า ผลเสียที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร จริงอยู่ว่าเราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครมีปมอะไรในใจ แต่มันน่าจะดีกว่าถ้าหากคำพูดที่ออกจากปากเราเป็นคำพูดที่ดีผ่านการพิจารณาแล้วว่าจะไม่ทำร้ายใคร บทลงโทษของการพูดไม่คิดในครั้งนี้ที่ลูกสาวเสนอมาเองก็คือ เมื่อพูดว่าแม่ไม่ทำอะไรเลยแม่ก็จะไม่ทำ ดังนั้นลูกจะต้องทำอาหารเย็นให้ทุกคนทานเป็นเวลา 1 สัปดาห์ นับว่าเป็นบทลงโทษที่น่าจะทำให้ลูกได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างเลยทีเดียว