ได้ดูข่าวที่เอานักร้องและนักแสดงที่กำลังดังในขณะนี้มาเปรียบเทียบกัน นักข่าวเสนอข่าวว่า เมื่อนักแสดงคนนี้ดังจนห้างแตกขึ้นมาคงต้องมาดูกันว่านักร้องที่เคยทำห้างแตกมาก่อนจะตกกระป๋องหรือไม่ พอได้ยินก็รู้สึกไม่ชอบการเสนอข่าวแบบนี้ เพราะเราไม่ชอบการนำใครมาเปรียบเทียบกัน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมาย้อนถามตัวเองว่า แล้วสิ่งที่เรากำลังคิดนี่อยู่นี่หล่ะ ไม่ใช่การเปรียบเทียบหรอกหรือ? เรากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับนักข่าวว่า เราดีกว่านักข่าวเพราะเราจะไม่เอาใครมาเปรียบเทียบกันแบบที่นักข่าวทำ ใช่หรือไม่?
เอ้า! แย่แล้วสิทีนี้ จากที่เคยคิดว่าเราไม่ใช่คนที่ชอบเปรียบเทียบและจะไม่มีวันเอาใครไปเปรียบเทียบกัน นี่มันตรงกันข้ามกับที่เราคิดโดยสิ้นเชิง เมื่อลองคิดดูดีๆ ที่เราต้องการคำชมมาตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่เพราะเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลาหรือ เมื่อเราได้รับคำชม นั่นเป็นการยืนยันการเปรียบเทียบของเราว่า เราดีกว่าคนอื่น ที่เราไม่อยากได้คำติ ก็เพราะคำตินั้น แสดงว่า เราด้อยกว่าคนอื่น นิสัยการเปรียบเทียบของเรานี่เองที่ทำให้เกิดปมยิ่งใหญ่ในชีวิตและมีอิทธิพลกับการดำเนินชีวิตของเราเกือบทั้งชีวิต
มานั่งนึกย้อนดูตอนเด็กตั้งแต่จำความได้ เราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับน้องสาวตลอดมา สิ่งที่เรารู้สึกว่าเราด้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็น หน้าตา ลักษณะนิสัย ความรักจากแม่ เราก็เก็บเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจจนกระทั่งมากำหนดลักษณะนิสัยของเรา ทำให้เราขาดความมั่นใจมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้น เรายังพยายามหาสิ่งที่เราคิดว่าเราดีกว่าเช่น การเรียน และยึดสิ่งนั้นไว้ ยอมถูกเอาเปรียบ ยอมลำบากเพื่อให้ได้มาซึ่งคำว่า เรียนเก่งกว่า เพียงเพื่อเปรียบเทียบให้คนอื่นได้เห็นว่า นี่ไง เราดีกว่า เท่านั้นเอง
นึกถึงเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราทำกิจกรรมควบคู่ไปกับการเรียน มานั่งทบทวนดูว่าที่เราทำกิจกรรมนั้นเพราะอะไรกันแน่ เพราะสนุก เพราะอยากทำ หรืออย่างไร ก็พบว่าจำไม่ได้จริงๆว่าเคยรู้สึกสนุกหรือชอบการทำกิจกรรม สิ่งที่จำได้คือ เราได้รับเสียงชื่นชมจากอาจารย์และเพื่อนๆว่า เราสามารถทำกิจกรรมและยังสามารถเรียนได้ดีจนได้เกียรตินิยมซึ่งดีกว่าคนที่เรียนดีอย่างเดียวแต่ไม่ร่วมกิจกรรมอะไรของทางมหาวิทยาลัยเลย จำได้เท่านี้จริงๆ
เมื่อมีลูกอาการยิ่งหนักขึ้น เอาลูกตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่นตลอดเวลา แล้วมาพยายามบังคับ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวตนของลูกให้เป็นอย่างที่เราต้องการ ก็เพื่อให้คนอื่นเห็นว่า การตัดสินใจมาเป็นแม่เต็มเวลาและทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูกของเรานั้น ดีกว่าการทำงานไปด้วยและเลี้ยงลูกไปด้วย ลูกเราจะต้องดีกว่าลูกคนอื่นซึ่งจะแสดงว่า เราเป็นแม่ที่ดีกว่า และไม่ด้อยไม่กว่าแม่ที่ทำงานนอกบ้านเลย
ตลอดมาเราไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเป็นจอมเปรียบเทียบตัวแม่ขนาดนี้ วันนี้เมื่อมองเห็นสิ่งนี้ในตัวเราแล้ว คำพูดต่างๆนาๆ ที่เราเคยพูดกับลูก มันกลับมากระแทกเราอย่างจัง คำพูดเหล่านั้นเปรียบเทียบลูกของเรากันเอง เช่นคำพูดว่า “น้องไม่เคยทำแบบนี้” “พี่เค้าดูแลตัวเองได้” เปรียบเทียบลูกของเรากับลูกคนอื่น เช่นบอกว่า “ลูกบ้านอื่นไม่เรื่องเยอะเหมือนบ้านนี้” เปรียบเทียบตัวเองกับลูก ด้วยคำพูดว่า “แม่ไม่เคยพูดไม่ดีหรือทำไม่ดีกับคุณยายแบบนี้” แม้กระทั่งน้อยใจสามีที่โทรมาแล้วเรียกหาแต่ลูก เพราะเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกว่าเรามีความสำคัญน้อยกว่าลูก นี่เราอาการหนักขนาดนี้เชียวหรือ
ต้องยอมรับว่าตกใจมากกับการมองเห็นตัวเองในครั้งนี้ เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่าเราไม่ได้เป็นคนแบบนี้มาตลอด แต่ที่ไหนได้ สิ่งนี้กลับแทรกอยู่ในทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกคำพูด ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขจุดนี้อย่างไร คงได้แต่คอยเตือนตัวเองโดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกไม่พอใจว่าเรากำลังเปรียบเทียบตัวเรากับใครอยู่รึเปล่า แต่สิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์มากจากการมองเห็นตัวเองในครั้งนี้คือ เมื่อเรารู้สึกไม่พอใจนิสัยบางอย่างของคนอื่น ให้ลองถามตัวเองว่าจริงๆแล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ พยายามตอบตัวเองตามความจริง ซึ่งคำตอบที่ได้จะทำให้เราได้เห็นตัวเราเองในมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน