บาดเจ็บ(2)

จากการบาดเจ็บเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วทำให้ข้อเท้าแพลงและเดินไม่ได้นั้น นอกจากจะทำให้ได้เห็นตัวเองแล้ว ยังทำให้เห็นมุมมองของเราต่อสิ่งรอบตัวที่แตกต่างออกไปตามสถานการณ์ที่ต่างไปอีกด้วย

สิ่งที่ได้เห็นชัดมากคือเห็นว่าสิ่งใดที่มีสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเราอย่างแท้จริง ในตอนนั้น โทรศัพท์มีไว้เพื่อติดต่อสื่อสารเท่านั้น Social Media แทบจะตัดออกจากชีวิตไปเลย เสื้อผ้ากางเกงยีนส์ตัวโปรดก็ไม่ได้ใส่เพราะใส่ยาก รองเท้าคู่โปรดก็ใส่ไม่ได้เพราะเท้าบวม กาแฟที่เคยดื่มทุกเช้าก็ไม่ได้ดื่มเพราะสิ่งที่สำคัญจริงๆคืออาหาร 3 มื้อ ห้องนอน master bedroom ที่อยู่ชั้น 3 นั้นไม่จำเป็นเลยแค่มีโซฟาห้องนั่งเล่น หมอน และผ้าห่มให้ความอบอุ่นเท่านั้นก็พอ มันทำให้เราได้เห็นว่า ในชีวิตวันๆนึงของเรา วนเวียนอยู่กับสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริงๆไปมากมาย

นอกจากนั้นยังได้เห็นว่า สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่ามีประโยชน์เลยกลับกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในเวลานั้น เช่น ราวบันได ในชีวิตปกติจะไม่ใช้เลย ยิ่งในที่สาธารณะจะไม่แตะเพราะรู้สึกว่าสกปรกและยังไม่ให้ลูกจับอีกต่างหาก แต่ตั้งแต่บาดเจ็บจนถึงตอนนี้ ราวบันไดกลายเป็นสิ่งจำเป็นมาก มันทำให้เรารู้สึกว่า ความจำเป็นของสิ่งใดก็ตามนอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์นั้น ไม่ได้อยู่ที่ของสิ่งนั้นคืออะไร แต่มันอยู่ที่สถานการณ์ของแต่ละคนที่มีต่อสิ่งนั้นมากกว่า

เสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆตอนนี้ ไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเราเพราะส่วนใหญ่จะใส่แต่ชุดออกกำลังและชุดอยู่บ้าน แต่กลับเป็นสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆของลูกคนโต เนื่องด้วย วัย สังคม และสถานการณ์ของเค้าในตอนนี้ ในทำนองเดียวกัน ของเล่นที่เกลื่อนบ้าน กองเต็มโต๊ะรับแขกที่บ้านขณะนี้ก็คือสิ่งจำเป็นของลูกคนเล็ก แต่กลับเป็นสิ่งไร้สาระของลูกคนโต และเป็นสิ่งที่แม่อยากจะกำจัดทิ้งไปด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าเรามองอะไรโดยมองจากจากสถานการณ์รอบตัวเราแล้วนั้นเราจะไม่สามารถไปตัดสินได้เลยว่า อะไรมีความจำเป็นหรือไม่จำเป็นสำหรับใครได้เลย

สิ่งที่ได้เห็นและทำให้รู้สึกภูมิใจคือการได้เห็นลูกช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือแม่ได้ ลูกคนโตสามารถเดินไปซื้อผ้าพันขากับยาให้แม่ได้ ช่วยกันหุงข้าว ทำกับข้าวง่ายๆทาน เก็บกวาดจานชาม เก็บครัวได้ มันทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราพยายามสอนวิชาการดำรงชีวิตให้ลูกนั้น เริ่มเห็นผลขึ้นมาบ้างแล้ว นอกจากนี้ยังเห็นได้ว่า เราควรจะเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำอะไรเพื่อเป็นการดูแลคนอื่นบ้าง เช่นขอให้ช่วยงาน เพิ่มความรับผิดชอบและมอบความไว้วางใจมากขึ้น เนื่องจากเราได้เห็นว่า ขณะที่เราป่วยนั้น ลูกมีความเป็นห่วงอยากช่วย อยากดูแล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกทำไม่เป็น ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเค้าไม่เคยต้องดูแลใครมาก่อน

ระหว่างที่เจ็บอยู่ทำอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเองไม่ได้ มันทำให้เราได้เข้าใจความรู้สึกของคนที่ป่วย คนที่พิการ ว่าเป็นอย่างไร นึกถึงคุณแม่ในช่วงที่ท่านป่วยแล้วก็ได้เห็นว่าท่านเข้มแข็งและอดทนขนาดไหน เราแค่เท้าเจ็บเดินไม่ได้ยังรู้สึกหงุดหงิด รำคาญ ไม่ได้ดังใจ แต่คุณแม่ที่ป่วยหนักมาก เดินไม่ได้ ทานไม่ได้นั้น เราไม่เคยได้ยินท่านบ่นเลยแม้แต่คำเดียว เราได้เข้าใจว่า การที่เราไม่สามารถใช้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งได้นั้น มันลำบากขนาดไหนและมันต้องใช้ความพยายามในการดำรงชีวิตมากเพียงใด ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อคนพิการจากที่เคยมีแต่ความสงสารเปลี่ยนไปเป็นความยอมรับนับถือในความพยายามเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเค้า

ในตอนนี้รู้สึกว่าการบาดเจ็บครั้งนี้ คุ้มค่าจริงๆ แม้สิ่งที่เราจะต้องเสียไปคือการได้ทำในสิ่งที่เราชอบ เช่น การวิ่ง เล่นเทนนิส หรือกิจกรรมอะไรก็ตามที่เคยทำ แต่ช่างเป็นการเสียไปเพื่อได้มาในสิ่งที่มีค่า ทำให้ได้เห็นความจริงหลายๆอย่างซึ่งถ้าไม่บาดเจ็บก็คงจะไม่เห็น ทำให้ได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง จากนี้จะเก็บสิ่งที่ได้เห็นมาใช้ในการพิจารณาตัวเอง และปรับปรุงตัวเองต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *