ถูกกระทำ(1)

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีความทุกข์ใจมากมายจากการได้รับข้อมูล การตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด รู้สึกถูกเปรียบเทียบและถูกตำหนิจากเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นหลายอย่าง ทำให้คิดว่าทำไมเราจะต้องมารับผลเหล่านี้ด้วย ทำไมเราต้องมาทน ทำไมคนที่ทำไม่นึกบ้างว่าเราจะได้รับผลกระทบเราจะเดือดร้อน ทำไมเพียงแค่รักษาความรู้สึกของเราบ้างก็ทำให้กันไม่ได้ มีแต่ ทำไม ทำไม ทำไม ผ่านมาถึงตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไปกลับเห็นได้ชัดเลยว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความห่วงตัวเองทั้งสิ้น

แสดงว่าที่เราคิดว่าเราได้ก้าวข้ามผ่านปมในใจของเราที่มีต่อของคำชมและคำติไปแล้วนั้น ความจริงแล้วมิใช่เลย ปมนั้นยังอยู่ซ้ำยังฝังรากลึก เราเพียงแค่เข้าใจมันมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ถ่องแท้ เมื่อมีเรื่องมากระทบหากเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยผลกระทบไม่มากเราจะสามารถทำความเข้าใจได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ตัวเราได้รับผลกระทบที่เราคิดว่ารุนแรงและบ่อยครั้ง ปมในใจนี้จะกลับมาทันที ทำให้เราเห็นผิดไปว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำและมองทุกอย่างในมุมของผู้ถูกกระทำเพียงด้านเดียว ถึงแม้จะมีหลักฐานของความจริงๆด้านอื่นให้เห็นตรงหน้าแต่เรากลับมองผ่านไปอย่างน่าเสียดาย

เห็นตัวเองได้ชัดเจนว่า โรคต้องการคำชมไม่ต้องการคำตินั้นยังอยู่และไม่เคยหายไปไหน เปรียบเหมือนคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ตอนร่างกายอ่อนแอก็จะดูเหมือนแพ้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง พอได้รับการรักษาและร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้นหากไปเจอสิ่งที่ไม่แพ้หรือแพ้เพียงเล็กน้อย อาการก็จะไม่ปรากฏซึ่งไม่ได้หมายความว่าหายขาดจากโรคภูมิแพ้ แต่หากไปเจอสิ่งที่แพ้เข้าจริงๆอาการอาจจะทรุดหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้ มานั่งนึกดูว่าที่ผ่านมาคำชมคำติในเรื่องไหนที่จะมีผลกับเรามากที่สุด ก็พบว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลูกเพราะฉะนั้นสิ่งที่เราแพ้หรือมีความเห็นที่ผิดไปนั่นก็คือเรื่องเกี่ยวกับลูก

แล้วเราเห็นผิดอย่างไรเกี่ยวกับลูก ลองมานั่งสำรวจตัวเองว่าเราทุกข์อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องของลูก เช่นลูกไปทำอะไรผิดแล้วโดนจับได้หรือโดนลงโทษ เราจะรู้สึกโกรธว่าเราสอนแล้วเตือนแล้วทำไมไม่เชื่อฟัง เมื่อมีใครมาตำหนิลูกเราจะรู้สึกว่าโดนตำหนิไปด้วยทุกครั้ง หรือเมื่อลูกแสดงกิริยาหรือพูดจาไม่ดีใส่ เราก็จะรู้สึกว่าทำไมลูกไม่รักษาน้ำใจ ไม่คิดถึงความรู้สึกของแม่ แม้กระทั่งลูกคุยโทรศัพท์กับเพื่อนทั้งวันจนคุยกับแม่แทบจะนับคำได้ เราก็รู้สึกไปว่าลูกเห็นคนในโทรศัพท์สำคัญกว่าแม่

ที่เราโกรธว่าลูกไม่เชื่อฟังก็เพราะเราคิดว่าลูกของเราควรจะเชื่อฟังเรา ที่ลูกโดนตำหนิแล้วเรารู้สึกโดนตำหนิไปด้วยก็เพราะเป็นลูกของเรา เราเป็นคนเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน เมื่อคนติว่าลูกเราไม่ดีนั่นคือตำหนิเราว่าอบรมสั่งสอนไม่ดี เราอยากให้ลูกคิดถึงความรู้สึกของเราเพราะเราคือแม่ เราอยากให้ลูกเห็นความสำคัญของเรามากกว่าคนในโทรศัพท์ก็เพราะคิดว่าแม่ควรจะเป็นคนสำคัญที่สุดของลูก เห็นได้ชัดว่าความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมีคำว่า เรา และ ลูกของเรา เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

นี่เราทุกข์เพราะเราห่วงตัวเองทั้งนั้น เช่นเมื่อลูกโดนทำโทษ เรากลับโกรธที่ลูกไม่เชื่อฟังคำพูดเราแทนที่จะเป็นห่วงลูกที่โดนทำโทษ เมื่อลูกโดนตำหนิ เรากลับสงสารตัวเองเพราะคิดว่าโดนตำหนิไปด้วยและไม่พอใจลูกที่ทำให้เดือดร้อนแทนที่จะเห็นใจลูกหรือหาทางแก้ไขปัญหาและสาเหตุที่ทำให้ลูกโดนตำหนิ เห็นลูกคุยโทรศัพท์กับเพื่อนตลอดเวลาแล้วเราเสียใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนสำคัญที่สุดของลูกและคิดว่าลูกไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเรา ความห่วงตัวเองทำให้เรามองเห็นความจริงผิดเพี้ยนไปและคิดอะไรเข้าข้างตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว

นอกจากนี้หากเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นกับเด็กคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของเรา เราคงไม่ทุกข์และเรายังจะสามารถมองเหตุการณ์ต่างๆตามความเป็นจริงได้มากขึ้นอีกด้วย เช่น การไม่เชื่อฟังของลูกหากมองตามความเป็นจริงเราจะเห็นว่า เค้าไม่เชื่อใครทั้งนั้นไม่ใช่แค่แม่ เค้าเชื่อตัวเองอยากลองอยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง สิ่งที่เราสอนเราเตือนเค้าก็รู้หมดแล้วอยู่ที่เค้าจะเลือกทำอย่างไรมากกว่าไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นแม่เป็นลูกกันเลย การที่ลูกถูกตำหนิหรือทำโทษจากการทำผิดก็เป็นผลที่เกิดจากการเลือกกระทำของตัวเค้าเองและก็เป็นประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกของเค้าไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูของเราเพียงอย่างเดียว

นึกถึงตัวเองตอนวัยเท่าลูก คนที่สำคัญที่สุดของเราก็คือแม่แต่คนที่คุยด้วยมากที่สุดคือเพื่อนไม่ใช่แม่ บางวันแทบไม่ได้คุยกับแม่เลยด้วยซ้ำ แม่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเราเลยไม่ว่าจะเรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องส่วนตัว ในขณะที่เพื่อนจะรู้ทุกเรื่อง แต่แม่ก็ยังเป็นคนสำคัญสำหรับเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถสรุปจากพฤติกรรมการติดเพื่อนในวัยนี้ของลูกว่าหมายถึงการลดความสำคัญของคนที่เป็นแม่ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรามองไม่เห็นในตอนที่มีคำว่า ลูกของเรา เข้ามาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นจากข้อมูลเหล่านี้ นอกจากความห่วงตัวเองที่เห็นได้ชัดมาก อีกสิ่งหนึ่งที่เราเห็นผิดไปก็คือ การเห็นว่าลูกเป็นของของเรา เมื่อเป็นของเรา เราจึงอยากให้ทำ ให้เป็น ให้คิด ให้พูด ในแบบที่เราต้องการ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการก็เป็นทุกข์ เมื่อเห็นว่าลูกเป็นของของเราจึงทำให้คิดว่าผลของการกระทำของลูกเป็นของเราไปด้วย หากลูกทำดีก็เพราะแม่ดีแต่หากลูกทำไม่ดีก็เป็นเพราะแม่ไม่ดีเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเลี้ยงดูของแม่ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดการกระทำของลูกเพียงอย่างเดียว

นี่สินะคือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกก็จะทำให้เราเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุขสลับไปสลับมาเพราะคำว่า เรา และ ลูกของเรา ต่อไปถ้าเกิดเรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกที่ทำให้ทุกข์ จะพยายามแยกให้ออกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเพราะเราห่วงตัวเองใช่หรือไม่ หากใช่ก็จะพยายามแก้ไขโดยมองให้เห็นว่าตัวเองเข้าใจอะไรผิดไป ถ้าเกิดจากความห่วงลูกก็จะพยายามมองให้เห็นทางแก้ปัญหาดีกว่ามานั่งทุกข์ใจให้เสียเวลา และจะพยายามพิจารณาคำว่า ลูกของเรา ให้บ่อย ให้เห็นว่าลูกเป็นของเราจริงหรือไม่ เพื่อต่อไปเราจะได้มองเห็นอะไรตามความเป็นจริงมากขึ้น ไม่ผิดเพี้ยนไปมากมายเพราะคำว่า ลูกของเรา เช่นนี้อีก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *