ถูกกระทำ(3)

จากเหตุการณ์ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ นอกจากจะเห็นถึงความห่วงตัวเองมากมาย การยึดว่าลูกเป็นของของเรา และนิสัยการชอบเปรียบเทียบของตัวเองแล้ว ยังทำให้เห็นอีกว่า ตัวเองเป็นคนที่จัดระบบความคิดได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะตั้งแต่เริ่มศึกษาและปฏิบัติมาเป็นระยะเวลาหลายปี เราได้พบความจริงหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเองและเกี่ยวกับความเป็นไปในโลก อีกทั้งสังเกตุได้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆกับเรื่องเดิมๆปมเดิมๆ แต่แทนที่เราจะนำความรู้ที่ได้เรียนรู้มาจัดการได้ทันท่วงทีกลับปล่อยให้ทุกข์นั้นมาทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เข้าทำนอง “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” จริงๆ

นึกไปถึงการทำความสะอาดบ้าน เรารู้หมดว่าพื้นมีฝุ่นมีเศษขยะเราต้องกวาด พื้นสกปรกต้องถูด้วยน้ำหรือน้ำยาถูพื้น ทำความสะอาดพรมต้องใช้เครื่องดูดฝุ่น ทำความสะอาดฝุ่นบนชั้นต่างๆต้องใช้ไม้ปัดฝุ่น แต่พอมาวันหนึ่งกลับบ้านพบว่าบ้านสกปรก มีฝุ่นเต็มบ้าน มีเศษผง น้ำนองเต็มพื้น สิ่งแรกที่เราทำกลับเป็นการโวยวายร้องไห้ว่า ทำไมบ้านสกปรก ใครมาทำบ้านสกปรก เราไม่อยู่บ้านเพราะฉะนั้นเราไม่ได้เป็นคนทำ เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราถูกกระทำ! แทนที่เราจะมาดูว่า ตรงไหนสกปรกบ้างจะทำความสะอาดด้วยวิธีไหนและสาเหตุของความสกปรกเกิดจากอะไร ซึ่งสุดท้ายแล้วเราจะได้เห็นว่าที่บ้านสกปรกก็เพราะเราเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ และได้เรียนรู้ว่าต่อไปก่อนออกจากบ้านควรจะปิดหน้าต่างทุกครั้ง

สิ่งที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง เช่น ได้รู้ว่าทุกข์ส่วนใหญ่ของเราจะเกี่ยวข้องกับลูกเพราะเราไปยึดว่าลูกเป็นของของเราทำให้เห็นผิดไปว่าจะต้องควบคุมได้และเอาผลการกระทำของลูกทั้งดีและไม่ดีมาเป็นของตัวเอง ปมใหญ่ของเราคือเรื่องคำชมคำติที่ฝังรากลึกแทรกอยู่ในแทบจะทุกการกระทำ ความมีอคติในใจและตัดสินคนตัดสินเหตุการณ์จากอคติ การเป็นคนชอบเปรียบเทียบ นิสัยด่วนสรุปมองอะไรด้านเดียวโดยที่ไม่ได้หาข้อมูลหรือหลักฐานให้เพียงพอ หรือแม้แต่ความเป็นจริงอื่นๆที่เราเคยมองเห็น เช่น ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ มีได้ก็ต้องมีเสีย ความไม่เที่ยง การเปลี่ยนแปลง หรือของมีน้อยย่อมมีค่ามากกว่าปกติ เหล่านี้คือความรู้ที่เรามีแต่เมื่อถึงเวลาใช้เรากลับไม่สามารถหยิบมาใช้ได้ทันท่วงที ต้องให้ครูบาอาจารย์มาตักเตือนจึงจะนึกถึงความรู้เหล่านี้ได้

ดังนี้ นอกจากการแก้ไขโดยเมื่อเกิดความทุกข์ จะไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดว่าเป็นผู้ถูกระทำซึ่งจะทำให้มุมมองของเรากลายเป็นมุมมองที่มองออกไปจากตัวเราฝ่ายเดียว จนทำให้มองไม่เห็นความจริงและทำให้เกิดการกระทำที่ผิดเพี้ยนไม่เหมาะสมและไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่จะต้องทำอีกอย่างคือการจัดระเบียบความคิด การจัดเก็บข้อมูลความรู้ที่มีให้เป็นหมวดหมู่ และรวบรวมข้อมูลหลักฐานจาก blog ทั้งหมดที่เขียนมาเพื่อมาวิเคราะห์ว่า ความทุกข์ลักษณะนี้ การกระทำหรือความคิดของเราแบบนี้มันเกิดจากนิสัยอะไรและแก้ไขด้วยวิธีไหน

เมื่อนำข้อมูลเก่าๆมาวิเคราะห์ น่าจะทำให้ได้เห็นลักษณะของการเกิดซ้ำว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร จนสามารถตีกรอบหมวดหมู่ให้แคบลงและจัดเก็บได้อย่างเหมาะสม ทำนองเดียวกันกับการเก็บช้อนส้อมจานชาม ที่เรามีการแยกเป็นหมวดหมู่เพราะรู้ว่าแต่ละอย่างมีไว้เพื่อใช้ทำอะไร และหวังว่าเมื่อทำได้ดังนี้ต่อไปเมื่อเจอความทุกข์จะสามารถจัดการได้ทันที และไม่เป็นคนที่ “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” อีกต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *